สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ จบที่ไหน กี่โมง (จบ)

27 เม.ย. 2568 | 08:41 น.
อัปเดตล่าสุด :27 เม.ย. 2568 | 10:49 น.

สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ จบที่ไหน กี่โมง (จบ) : คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

ทั้งนี้ ผลกระทบและความเสียหายทั้งหมดทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นก็ยากจะประเมินเช่นกัน เพราะมีตัวแปรมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับการตอบโต้ เงื่อนเวลา และความทนทานของเศรษฐกิจแต่ละฝ่ายที่จะดำเนินไป  

ยกตัวอย่างเช่น การเก็บอากรนำเข้าสินค้าจีนในอัตราที่สูงมากเช่นนี้ จะทำให้ราคาขายปลีกของสินค้าอุปโภคบริโภคในสหรัฐฯ พุ่งทะยาน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นท่ามกลางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ว่าง่ายๆ คนอเมริกันจะมีมาตรฐานการครองชีพที่ลดลง ซึ่งเราน่าจะเห็นสภาพการณ์นี้เกิดขึ้นนับแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 เป็นต้นไป

ท่ามกลางมุมมองที่แตกต่างของชาวอเมริกัน ต่อการดำเนินนโยบายของทรัมป์ ก็นำไปสู่การชุมนุมประท้วงในหลายหัวเมืองของสหรัฐฯ หากสถานการณ์เศรษฐกิจถลำลึกมากขึ้นก็อาจนำไปสู่การชุมนุมประท้วงของภาคประชาชน และการเรียกร้องของภาคธุรกิจที่มีขนาดใหญ่และกว้างขวางยิ่งขึ้นในอนาคต  

ยิ่งสภาพอากาศในสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนจากนี้ เอื้อต่อการออกมาแสดงพลังในพื้นที่กลางแจ้ง และเงื่อนเวลาการบังคับใช้ที่เลื่อนออกไป 90 วันจะหมดลงใกล้วันชาติสหรัฐฯ ด้วยแล้ว วันที่ 4 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ก็อาจเป็น “วันชี้เป็นชี้ตาย” ของ Reciprocal Tariffs ก็เป็นได้ 

ในทางกลับกัน เศรษฐกิจจีนจะแข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากพอที่จะรับแรงกดดันจากอากรต่างตอบแทน และมาตรการอื่นของสหรัฐฯ หรือไม่ อย่างที่ผมเกริ่นไปว่า ในภาพใหญ่ เศรษฐกิจจีนในปัจจุบันเปรียบเสมือนทะเลใหญ่ ที่สามารถต้านคลื่นลมแรงได้ ผมจึงประเมินว่า “แรงระเบิด” จากอากรต่างตอบแทนจะ “ไม่ระคายผิว” มังกรในระยะแรก  

อย่างไรก็ดี หากทั้งสองฝ่ายยังคงปักหลัก “ซดหมัด” กันยืดเยื้อเช่นนี้ การผลิตและการส่งออกของจีน ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบในระยะสั้น ก็อาจต้องเผชิญกับคลื่นลมของสงครามการค้าที่แรงกล้าและหนาวเหน็บ “แผลเล็ก” ทางเศรษฐกิจของจีนก็อาจติดเชื้อและลุกลามเป็น “แผลใหญ่” หรือแม้กระทั่งกลายเป็น “แผลเรื้อรัง” ที่จีนต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาในระยะยาว  

เรากำลังพูดถึงการส่งออกของจีนไปตลาดสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 520,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่จะหดหายไปในแต่ละปี ซึ่งจะส่งผลกระทบกับ SMEs และ การจ้างงาน vs. การพุ่งทะยานของค่าครองชีพ ที่ชาวอเมริกันนับร้อยล้านคนจะต้องแบกรับที่อาจลากยาวนานนับปีเหล่านี้ จึงนับเป็น “การซื้อเวลาที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง” และเป็นบททดสอบ “ความอึด” ของภาคเอกชนและประชาชนของทั้งสองฝ่าย และต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม 

ฉากทัศน์ที่ 2 ความชุลมุนที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมและโครงสร้างการบริหารงาน การสื่อสารระหว่างกันก็ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะนอกจากจะต่างฝ่ายต่างโต้กันในแง่มุมของตนเองเป็นหลักแล้ว หลายครั้งที่ผมพบว่า การสื่อสารเหล่านั้น ขาดความระมัดระวังในเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกนิยมการสื่อสารที่ “ตรงไปตรงมา” และ “แข็งกร้าว” ขณะที่ตะวันออกชอบสื่อสาร “ทางอ้อม” และ “ประนีประนอม” 

ยกตัวอย่างเช่น คำกล่าวของ ทรัมป์ ที่แสดงความโอหังว่า นานาประเทศกำลังวิ่งมา “จูบก้นฉัน” (Kissing My Ass) หรือ คำกล่าวของรัฐมนตรีคลังและโฆษกรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า “The Chinese wants to make a deal; they just don‘t know how to do it“ ซึ่งอาจแปลได้ว่า “จีนอยากเจรจาปิดดีล แต่ทำไม่เป็น”  

การสื่อสารดังกล่าวนอกจาก “ไม่ให้เกียรติ” กับประเทศคู่ค้าแล้ว ยังทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึก “เสียหน้า” ซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับวัฒนธรรมตะวันออก 

ยิ่งจีนยังคงยืนกรานไม่เข้าสู่โต๊ะเจรจาแบบเป็น “เบี้ยล่าง” ก็อาจยิ่งสร้างความโมโหโกรธาต่อสหรัฐฯ การสื่อสารที่ไม่พึงประสงค์เช่นนั้น อาจหลั่งไหลออกมา และจะถือเป็นการเดินเกมที่ “ผิดพลาดครั้งใหญ่” ของสหรัฐฯ และจะทำให้การยุติสงครามการค้าในครั้งนี้ยากและยาวนานยิ่งขึ้น   

ความแตกต่างระหว่างจีนและสหรัฐฯ อีกส่วนหนึ่งก็คือ หัวหน้าคณะผู้แทนเจรจา ทรัมป์พยายามเรียกร้องให้การเจรจามีผู้นำทั้งสองประเทศเป็นตัวหลัก แต่สำหรับจีน งานเจรจาการค้าไม่ใช่หน้าที่ของระดับนโยบาย แต่เป็นงานระดับปฏิบัติการที่รัฐบาลจะแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง หรือ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และ

ประสบการณ์ที่เหมาะสม พร้อมอำนาจเต็มเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนการเจรจา ประการสำคัญ จีนเองยังอาจกังวลใจและไม่อยาก “เสียท่า” เหมือนที่ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนเคยประสบมาก่อนหน้านี้ 

มองออกไปในอนาคต ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ และทีมงานจะไม่สื่อสารอะไรที่จะบั่นทอนความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ย่ำแย่มากขึ้นไปอีก อาทิ การแนะนำให้ สี จิ้นผิง ต่อสายตรงเพื่อขอร้องทรัมป์ หรือการเรียกร้องให้จีนยอมรับความพ่ายแพ้ในสงครามการค้าในครั้งนี้  

สำหรับผมแล้ว เหตุการณ์เหล่านั้น “ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น” เพราะปัจจุบัน สายตาของชาวโลกต่างจับจ้องมองผู้นำจีนอย่างไม่กระพริบตา เท่านั้นไม่พอ หากผู้นำจีนยอมทำตามที่สหรัฐฯ กดดัน หรือเข้าสู่โต๊ะเจรจากับสหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไขก็อาจ “เสียศูนย์” และ “พ่ายแพ้” ทางการเมืองภายในประเทศ เพราะชาวจีนกว่า 1,400 ล้านคน ต่างต้องการผู้นำที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้ต่อความอยุติธรรม  

ฉากทัศน์ที่ 3 ระดับความรักชาติของชาวจีนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สูงยิ่งกว่าเมื่อคราวที่ผู้นำจีนขายแคมเปญ “รวยร่วมกัน” (Common Prosperity) ก่อนต่อวาระที่ 3 ซะด้วยซ้ำ  
ในช่วงหลายเดือนหลัง ผมสังเกตเห็นจีนที่ “รวมใจเป็นหนึ่ง” และพร้อมสนับสนุนการดำเนินนโยบายของภาครัฐอย่าง “ไม่เกรงกลัว” หน้าอินทร์หน้าพรหม 

แน่นอนว่า กระแสดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการปลุกเร้าของรัฐบาลจีน ที่สะท้อนผ่านกระบอกเสียงของภาครัฐ ว่าจีนกำลังถูกรังแก จำเป็นต้องรักษาหลักการและต่อสู้เพื่อความยุติธรรม รวมทั้งไม่อยากเห็นคนในชาติต้องตกอยู่ภายใต้อาณัติของต่างชาติที่ขมขื่นดั่งเช่นในอดีต  

และในอีกด้านหนึ่งเป็นเพราะระดับของความรักชาติของชาวจีนที่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความรู้สึกของชาวจีนในวันนี้ จึงไปไกลถึงขนาดพูดขึ้นว่า “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” และพร้อมต่อสู้ทุกรูปแบบ “จนสุดทาง” ดังนั้น ผมเชื่อมั่นว่า เราจะไม่เห็นการชุมนุมประท้วงของชาวจีน ต่อกรณีจุดยืนของรัฐบาล เหมือนที่เราเห็นในสหรัฐฯ 

บางคนที่ผมพูดคุยด้วยยังเปรยว่า หากจำเป็นก็พร้อมสนับสนุนการยึดเกาะไต้หวัน กลับมาสู่มาตุภูมิ เพื่อตัดปัญหาจากปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และทำให้ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงเหนือมีความสงบและแนบแน่นยิ่งขึ้น

                              สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ จบที่ไหน กี่โมง (จบ)

ฉากทัศน์ที่ 4 การผนึกกำลังของยูเรเซีย (ยุโรปและเอเซีย) แรงกดดันจากสหรัฐฯ ดังกล่าวอาจนำไปสู่การจัดระเบียบโลกครั้งใหญ่ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์เลยก็ได้ อย่างที่ผมเกริ่นไปว่า เดิมผมคิดว่า เกมนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการดึงรัสเซียออกจากอ้อมอกจีน ซึ่งหากเป็นจริง ก็ดูเหมือนว่าความพยายามนี้จะมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวมากขึ้นทุกขณะ  

เท่านั้นไม่พอ สหภาพยุโรปเองก็ดูกังวลใจกับแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ใช้ Reciprocal Tariffs ในการต่อรองให้นำเข้าก๊าซธรรมชาติและสินค้าอื่นจากสหรัฐฯ ถึงขนาดส่งผู้แทนไปเจรจาและมีกระแสข่าวว่าทั้งสองฝ่ายกำลังเร่งเปิดประตูการค้าให้แก่กัน  

อาทิ การลดเลิกการเรียกเก็บอากรนำเข้าจากรถยนต์ไฟฟ้าจีน เพื่อแลกกับการดีลการซื้อหาสินค้าและเปิดตลาดจีนสำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรป อาทิ สินค้าเกษตร เหล้า ไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น และเครื่องบินแอร์บัส รวมทั้งการขยายความร่วมมือด้านการลงทุน และด้านอื่นๆ 

ลองคิดดูว่าแพ็กยูเรเซียจะ “ใหญ่” และ “พร้อมสรรพ” ขนาดไหน เพราะมีทั้งรัสเซีย (ที่มีสินค้าพลังงานและแร่ธรรมชาติ) สหภาพยุโรป (สินค้าเกษตร แฟชั่น และเทคโนโลยี) จีน (โรงงานของโลกและตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่สุดของโลก) ญี่ปุ่น (เศรษฐกิจอันดับ 2 ของเอเซีย) และเกาหลีใต้ (เศรษฐกิจอันดับ 4 ของเอเซีย) รวมทั้งประเทศในภูมิภาคเอเซียกลาง เอเซียใต้ และเอเซียตะวันออกกลางที่มีจำนวนประชากรและทรัพยากรธรรมชาติที่มากมายมหาศาล 

ยิ่งหากถูกประสานด้วยยุทธศาสตร์ “ข้อริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (BRI) แพ็กยูเรเซียยังอาจเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่น อาทิ ประเทศในกลุ่มละตินอเมริกา จนมีความ “พร้อมสรรพ” อย่างแท้จริง และอาจส่งผลให้การแยกขั้วของห่วงโซ่อุปทาน และอุตสาหกรรม ที่ทรัมป์อยากเห็นเกิดเป็นรูปธรรมและไปไกลกว่าที่คิดไว้

“ยูเรเซียพลัส” ก็อาจเปลี่ยนแคมเปญในฝันของทรัมป์จาก “America First” ไปสู่ “Lonely America” ที่ถูกโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง ทรัมป์อาจกลายเป็นผู้นำไม่ได้รับการต้อนรับจากนานาประเทศ หรือเดินทางเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ก็เป็นได้ 

ฉากทัศน์ถัดมาก็คือ การโยกย้ายถิ่นฐานของอเมริกันชน “ครั้งใหม่” หลายคนอาจมองว่า เป็นสิ่งที่ไกลเกินคาด แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า คนอเมริกันจำนวนมากใช้เวลาในช่วง 2-3 ปีหลัง เดินทางท่องเที่ยวและสำรวจลู่ทางและแหล่งพำนักแห่งใหม่ในชีวิต  
คนอเมริกันที่มีฐานะดี มีแนวโน้มที่จะเลือกย้ายไปใช้ชีวิตในยุโรป

คนเหล่านี้อาจมีเชื้อสายเป็นชาวยุโรปอยู่เดิม และคุ้นชินกับสภาพแวดล้อม วิถีชีวิต และ การประกอบอาชีพรองรับอยู่แล้ว ส่วนคนชั้นกลางส่วนใหญ่ สนใจโยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในละตินอเมริกา และ อาเซียน 

ในส่วนของภูมิภาคอาเซียน ไทย และ ลาว เป็นเป้าหมายที่ชาวอเมริกัน ให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ อาจเพราะสภาพอากาศที่อบอุ่ม ค่าครองชีพที่ไม่สูง และวัฒนธรรมที่อ่อนและเปิดรับชาวต่างชาติ 

เมื่อสอบถามถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความต้องการโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหม่นี้ ผมสรุปได้ 2 เหตุผล ประการแรก การไม่ยอมรับในตัวผู้นำ คนเหล่านี้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการบริหารประเทศ และรับไม่ได้กับพฤติกรรมของทรัมป์ 

และประการที่ 2 ก็เป็นปัจจัยในเชิงเศรษฐกิจ ที่คนเหล่านี้คาดว่าค่าครองชีพในสหรัฐฯ จะเพิ่มสูงขึ้นมาก และอาจทำให้การดำรงชีวิตของคนเหล่านั้น ประสบกับความยากลำบากในอนาคต 

หากการแสดงพลังจากนี้ไปจนถึงวันชาติสหรัฐฯ ไม่มีผลให้ทรัมป์เปลี่ยนใจและปรับเปลี่ยนนโยบาย เราก็อาจเห็นการโยกย้ายถิ่นฐานทยอยเกิดขึ้นหลังจากนั้น สหรัฐฯ ที่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อมากที่สุดในโลก อาจสิ้นมนต์ขลังลงในคราวนี้ก็เป็นได้ 

ฉากทัศน์สุดท้ายที่ผมเองก็ไม่อยากเห็นก็คือ การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ผมขออ้างอิงนักรัฐศาสตร์โลกที่เคยนำเสนอไว้ว่า สหรัฐฯ มีค่าเฉลี่ยของความขัดแย้งกับนานาประเทศอยู่ที่ 60 ปี ดังนั้น ถ้านับแต่จีนเปิดประเทศก็อยู่ที่ 47 ปี เท่ากับว่าโลกมีเวลาเหลือเพียงราว 13 ปี 

ขณะเดียวกัน นับแต่ทรัมป์ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดี ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย หลายกรณีอาจฟังดูขำ แต่โดยเนื้อแท้กลับมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ อาทิ การขอซื้อเกาะกรีนด์แลนด์จากเดนมาร์ก การขอผนวกแคนาดาเข้าเป็นมลรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ และการเจรจาเอาการบริหารท่าเรือ 2 ฝั่งมหาสมุทรของคลองปานานา และท่าเรือสำคัญอื่นจาก Hutchinson Port Holdings กลับมาอยู่ในการควบคุมดูแลของกิจการสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยสกัดการสยายปีกของจีนผ่าน “เส้นทางสายไหมน้ำแข็ง” (Ice Silk Road) ภายใต้ BRI  

หรือการวางแผนผลักดันร่างกฎหมายของสหรัฐฯ เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเรือสินค้าสัญชาติจีน ที่เข้าเทียบท่าเรือของสหรัฐฯ หรือที่สหรัฐฯ บริหารในอัตราที่สูงกว่าของสัญชาติอื่น เพื่อจำกัดการขยายกองเรือพาณิชย์ของจีน ที่อาจผันเป็นเรือส่งกำลังบำรุงในยามสงคราม และการส่งเสริมอุตสาหกรรมการต่อเรือของสหรัฐฯ เพื่อสร้างกองเรือพาณิชย์สัญชาติอเมริกันในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ท่านผู้อ่านอาจสังเกตเห็นการเข้าเยี่ยมคารวะวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียของ หวัง อี้ ผู้อำนวยการสำนักงานการต่างประเทศประจำพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ทีแรกผมก็คิดว่าจะเป็นการหารือเรื่องการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่การณ์กลับเป็นว่า รัสเซียเดินหน้าถล่มยูเครนหนักข้อขึ้น  

หรือแม้กระทั่งการที่สหรัฐฯ ปฏิเสธและปิดช่องทางในการเจรจากับจีนและยุโรป ก็ทำให้ผลกระทบของสงครามการค้า 2.0 ในด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ยิ่งพอประเทศเหล่านี้ไม่มีช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน ก็ทำให้ความเสี่ยงต่อความหายนะครั้งใหญ่ก่อตัวเป็น “เงาทะมึน” ปกคลุมโลกมากขึ้น 

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ การเติบใหญ่ของเศรษฐกิจจีน ที่คาดว่าจะก้าวขึ้นทาบชั้นและแซงหน้าสหรัฐฯ ในระหว่างปี 2030-2035 ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อสหรัฐฯ มากขึ้นไปอีก

ยิ่งไปกว่านั้น หากทรัมป์ลงสมัครและได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในเทอม 3 ก็จะอยู่บริหารประเทศต่อไปจนถึงปี 2032 ซึ่งนั่นอาจตามมาด้วย “สงครามการค้า 3.0” ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ช่วงปี 2030-2038 จะถือเป็นช่วงวิกฤติของโลก เราก็น่าจะเห็นการแยกขั้วทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่ถ่างกว้างมากขึ้น และส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลก  

สิ่งนี้อาจนำไปสู่ “สงครามเย็น” (Cold War) แห่งศตวรรษที่ 21 คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นระหว่างสหภาพโซเวียต และสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของการเผชิญหน้า และอาจเปลี่ยนสงครามการค้าไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 

เราคงต้องอยู่กับสงครามการค้า 2.0 ต่อไปอย่างน้อยอีกระยะหนึ่ง ขอเพียงท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งถอดใจ อย่างน้อยก็ติดตาม “ฟังเสียงหัวเราะ” ของผู้ชนะของสงครามการค้าในครั้งนี้ และ “รวมพลัง” เพื่อให้ไทยเรามีที่ยืนในระเบียบสังคมโลกใหม่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ...

เกี่ยวกับผู้เขียน : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน, อุปนายกและเลขาธิการสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน ผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดจีน มุ่งหวังนำข้อมูลและมุมมอง ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การตลาดและอื่น ๆ  ที่อยู่ในกระแสของจีนมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เพื่อเราจะไม่ตกขบวน “รถไฟความเร็วสูง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน