เมื่อหลายวันก่อน ผมไปร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นในงาน “Trump’s Global Quake: Thailand Survival Strategy” ที่จัดขึ้นโดยเครือเนชั่น และ สนับสนุนโดยธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ และมีการนัดสัมภาษณ์และเสนอให้ผมเขียนบทความถอดรหัสเรื่องนี้กันครับ ...
ทำไมต้องอากรต่างตอบแทน? ผมพยายามคิดตาม โดนัลด์ ทรัมป์ ในเชิงเศรษฐกิจว่าทำไมสหรัฐฯ ต้องเรียกเก็บ “Reciprocal Tariffs” จากประเทศคู่ค้าอย่างมีเหตุมีผล ก็พบว่า สหรัฐฯ เผชิญกับความท้าทายทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ระเบียบเศรษฐกิจโลกเดิมที่อาศัยอำนาจเงินเหรียญสหรัฐฯ และเทคโนโลยีเริ่มแสดงพลังที่ลดลง ท่ามกลางแรงกดดันที่ทวีกำลังอย่างต่อเนื่องจากความแข็งแกร่งด้านการผลิต และบทบาทของเศรษฐกิจจีนในเวทีโลก ในช่วงกว่า 3 ทศวรรษหลัง วงจรเศรษฐกิจและการไหลเวียนของเงินเหรียญสหรัฐฯ จึงเริ่มแกว่งตัว บทบาท และความน่าเชื่อถือของเงินเหรียญสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง
สหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาการคลังที่หนักหน่วงขึ้นทุกขณะ โดยในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังแบกภาระหนี้สาธารณะมูลค่าราว $35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการขายพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งคิดเป็นกว่า 150% ของจีดีพี
นั่นหมายความว่า สหรัฐฯ ต้องทำงาน 1.5 ปี และใช้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับทั้งหมด เพื่อชำระคืนหนี้ดังกล่าว นอกจากนี้ หนี้ก้อนใหญ่ดังกล่าวยังสร้างภาระดอกเบี้ยอีกกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี เทียบกับเงินคงคลังในปัจจุบันที่เหลือเพียง 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมสหรัฐฯ จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ อาทิ การลดความช่วยเหลือองค์การระหว่างประเทศ และด้านการทหาร (โดยขอให้ประเทศพันธมิตรเพิ่มระดับความรับผิดชอบ) ขณะเดียวกันก็ต้องการแสวงหารายได้เพิ่มขึ้น
ในประเด็นหลัง โดยที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีการนำเข้ามากที่สุดโลก ในปี 2024 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าในมูลค่าถึง 3.35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น การเรียกเก็บ “อากรนำเข้า” อาจเป็นวิธีการหนึ่งในการสร้างรายได้จำนวนมหาศาลแก่ภาครัฐ
หลังผมลองคำนวณตามก็ได้ตัวเลขที่น่าสนใจดังนี้ ทุกอัตราอากรนำเข้า 10% สหรัฐฯ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 335,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น บนสมมุติฐานที่ว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บอากรนำเข้าเฉลี่ย 30% ของมูลค่าการนำเข้า ก็เท่ากับว่า สหรัฐฯ จะมีรายได้ราว 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ!!!
ยิ่งเมื่อผนวกกับการลดรายจ่ายทางการทหารและเงินอุดหนุนแก่องค์การระหว่างประเทศ การลดค่าใช้จ่ายภาครัฐที่ ลีออน มัสก์ พยายามเร่งปรับลดอย่างจริงจัง รวมทั้งการลดผลตอบแทนจากการขายพันธบัตรรัฐบาลจาก 5% (ซึ่งกำลังกลายเป็นภารกิจที่เทียบได้กับการเข็นครกขึ้นภูเขา) ก็จะทำให้สหรัฐฯ มีเงินคงคลังเพิ่มขึ้นมากเพียงพอสำหรับการชำระดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล และการพัฒนาประเทศในอนาคต
อย่างไรก็ดี หากดูท่าทีของ ทรัมป์ ในหลายกรณีก็อาจประเมินได้ว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการเพียงรายได้จากอากรนำเข้าเป็นสำคัญเท่านั้น แต่คาดหวังหลายสิ่งที่มากกว่า
ยกตัวอย่างเช่น การปฏิเสธข้อเสนอของสหภาพยุโรป ในเรื่องการยอมรับอัตราอากรต่างตอบแทน แต่ต้องการให้สหภาพยุโรปจัดซื้อสินค้าพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่มีกำไรสูงในมูลค่าปีละ 350,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อไป นั่นหมายความว่า ในกรณีนี้ ทรัมป์ต้องการขายสินค้าเพื่อลดการขาดดุลการค้า และสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมเป้าหมายควบคู่ไปพร้อมกัน
หรือกรณีการ “เปิดหน้าชก” ซดกับจีนอย่างดุเดือดชนิด “ใครกระพริบตาก่อนแพ้” และรวดเร็วอย่าง “ไม่เคยเป็นมาก่อน” พร้อมกับเลื่อนการเรียกเก็บอากรนำเข้าจากทุกประเทศออกไป 90 วัน แต่เพื่อ “รักษาหน้า” บางส่วนเอาไว้ จึงตัดสินใจหยิบเอา “มังกร” มาเป็น “แพะ” โดยยังคงเก็บภาษีจีนแต่เพียงประเทศเดียว แถมยังตอบโต้ด้วยอัตราอากร 145% จนทำเอาผู้คนสงสัยว่า “มันจะไปจบลงที่ใด”
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนประเมินว่า ณ ระดับการเรียกเก็บอากรนำเข้าในอัตรา 54% ระหว่างกัน ก็จะทำให้การค้าทวิภาคีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แห้งเหือดหมดแล้ว เพราะมาร์จินของสินค้าโภคภัณฑ์ อุปโภคบริโภค และอื่นๆ ที่ค้าขายกันไม่สูงมากขนาดนั้น และไม่มีภาคส่วนไหนจะเข้ามาแบกรับภาระ
แต่เมื่อ “ฝุ่นสงครามการค้า” ยังไม่ทันเริ่มจางลง ดูเหมือนพื้นที่ “หน้า” ที่สหรัฐฯ รักษาเอาไว้ครึ่งหนึ่งก็หดหายไปอีกเมื่อต้องยอม “กลืนน้ำลายตัวเอง” โดยประกาศยกเว้นการเรียกเก็บอากรนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ คอมพิวเตอร์ และ สมาร์ตโฟน ทั้งที่ จีนก็ยังคงยึดมั่นในจุดยืนและหลักการเดิมของการค้าเสรีและการเจรจาการค้าระหว่างกัน
ทรัมป์ยอมทิ้งรายได้มหาศาลจากอากรนำเข้าในส่วนนี้ เพื่อแลกกับผลกระทบต่อชาวอเมริกันและสายสัมพันธ์กับธุรกิจไฮเทครายใหญ่ของสหรัฐฯ เพราะจากตัวเลขการนำเข้าสินค้าเหล่านี้ในปี 2024 สหรัฐฯ นำเข้าสมาร์ตโฟนจากจีนมากที่สุด ในมูลค่า 41,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และแล็ปท็อปด้วยมูลค่า 33,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นต้น
หรือนี่อาจถือเป็น “ก้าวเล็กๆ” ของความพยายามในการแก้ไขความผิดพลาดเชิงนโยบายครั้งใหญ่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่โลกกำลังรอคอยความชัดเจน
แต่ผมก็ยังเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า อดีตนักธุรกิจใหญ่ที่ผันตัวเป็นนักการเมืองอย่างทรัมป์จะไม่ “ตายน้ำตื้น” และรอจังหวะเปิดไพ่ “ใบใหม่” อีกในอนาคตอันใกล้
กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย แต่ต้องขอยกยอดไปคุยกันต่อในตอนหน้าครับ ...