เจรจาภาษีทรัมป์ รัฐบาลคงทำได้แค่ wait&see

26 เม.ย. 2568 | 10:12 น.
อัปเดตล่าสุด :26 เม.ย. 2568 | 10:18 น.

เจรจาภาษีทรัมป์ รัฐบาลคงทำได้แค่ wait&see : กหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,091 หน้า 6 วันที่ 27 - 30 เมษายน 2568

สงครามการค้ารอบใหม่ที่ดูเหมือนจะผ่อนคลายลง หลัง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งสัญญาณลดระดับมาตรการตอบโต้ทางภาษีกับจีน จากก่อนหน้าที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ปะทุรุนแรงเป็นประวัติการณ์ ตอบโต้กันไปมาผ่านการขึ้นอัตราภาษีศุลกากร จนทำให้อัตราภาษีที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บสินค้านำเข้าจากจีนสูงลิ่ว 145% แบบไม่เคยมีมาก่อน     

ท่าทีที่อ่อนลงของทรัมป์ ทั้งการลดระดับการจัดเก็บภาษีกับจีน และการออกมาระบุว่า ไม่มีความตั้งใจที่จะไล่ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกจากตำแหน่ง ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากแรงกดดันในสหรัฐฯเอง เพราะล่าสุดปรากฎว่า มีถึง 12 รัฐในสหรัฐฯ ร่วมกันยื่นฟ้องร้องต่อศาล เพื่อขอระงับการใช้มาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของทรัมป์ เพราะสร้างความปั่นป่วนต่อการค้าระหว่างประเทศ 

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาเตือนว่า นโยบายภาษีที่คาดเดาไม่ได้ของทรัมป์ และมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า อาจสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหรัฐเอง ที่จะได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ IMF 

คาดการณ์ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะชะลอลงจากเดิม 3.3 เหลือ 2.8% ในปีนี้  ซึ่งถือว่า ตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองจะเหลือเพียง 1.8% ในปีนี้จากประมาณการเดิมที่ 2.8%  

แม้ท่าทีของของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้นหลีกเลี่ยงได้ยาก IMF เองยังปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ด้วยว่า จะเติบโตลดลงจาก 2.9% เหลือเพียง 1.8% ตํ่าสุดใน 5 ชาติอาเซียน คือ ฟิลลิปปินส์ 5.5% เวียดนาม 5.2% อินโดนีเซีย 4.7% และมาเลเซีย 4.1%  

ดังนั้น หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยโตได้ 3% ตามเป้าหมาย รัฐบาลจึงเดินหน้าที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นการบริโภค การลงทุน ซึ่งแหล่งเงินอาจจะมาทั้ง การเกลี่ยงบประมาณ การปรับงบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่ยังเหลือ 150,000 ล้านบาท และการให้สถาบันการเงินของรัฐ เข้ามาปล่อยสินเชื่อเพื่อเติมเงินเข้าเศรษฐกิจได้อีกทาง

สัญญาณที่ออกมา ดูเหมือนจะหนักไปทางการกู้เงิน เพราะมีการพูดถึงเพดานหนี้สาธารณะว่า แม้จะกู้เงินมาอีก 5 แสนล้านบาท จะกระทบหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่ม 3% เศษเท่านั้น จากปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 64.21% ก็จะเพิ่มไปที่ 67.21% ก็ยังอยู่ในกรอบ 70%

นั่นเพราะจนถึงวันนี้ คณะทำงานทีมไทยแลนด์ก็ยังไม่สามารถเข้าไปเจรจากับทางสหรัฐฯ ได้ ทำได้แค่ wait&see คือ รอดูพัฒนาการต่างๆ และเตรียมความพร้อมในการเจรจาให้เป็นไปอย่างรอบคอบรัดกุม

หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,091 วันที่ 27 - 30 เมษายน พ.ศ. 2568