สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ จบที่ไหน กี่โมง (3)

26 เม.ย. 2568 | 09:47 น.
อัปเดตล่าสุด :26 เม.ย. 2568 | 10:01 น.

สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ จบที่ไหน กี่โมง (3) : คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

ทางเลือกของจีนเมื่อสหรัฐฯ เก็บอากรนำเข้าในอัตรา 145%? นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ FC ให้ความสนใจและสอบถามเข้ามามาก จีนมีทางเลือกหลากหลายและเตรียมการรับมือในเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว และน่าจะเดินหน้าอย่างเต็มสูบในอนาคต

ประการแรก จีนยังคงยึดแนวทางเดิม “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (Tit for Tat) ที่ประกาศและถือปฏิบัติมาก่อนหน้านี้ เพื่อรักษาหลักการค้าเสรี และพัฒนาความร่วมมือบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วม ซึ่ง สี จิ้นผิง ได้บอกกับ ทรัมป์ ในโอกาสแสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี และผู้แทนรัฐบาลจีนได้ตอกย้ำจุดยืนดังกล่าวอีกหลายครั้งหลายหนต่างกรรมต่างวาระกันในเวลาต่อมา 

ดังนั้น เมื่อทรัมป์ยังคงยืนกรานที่จะเปิดเกม “กีดกันทางการค้า” ตามกลยุทธ์ “The Art of the Deal” ที่ถนัด จีนจึงอาศัย “The Art of War” เรียกเก็บอากรนำเข้าตอบโต้สหรัฐฯ แบบ “วันต่อวัน” จนชาวโลกต่างจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยส่วนใหญ่แอบ “เอาใจช่วย” จีนให้ต่อสู้กับความอยุติธรรมและอหังการของสหรัฐฯ ในครั้งนี้อยู่ลึกๆ

อย่างไรก็ดี ภายหลังการตอบโต้ครั้งล่าสุด ที่ดันอัตราอากรนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ขึ้นไปแตะระดับ 125% จีนก็ประกาศว่าจะไม่เสียเวลากับมาตรการ “ขึ้นภาษี” ตอบโต้สหรัฐฯ อีกต่อไป เพราะการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ น่าจะชะลอตัวลงจนถึงนิ่งสนิทหลังอัตราภาษีที่เรียกเก็บระหว่างกัน แตะหลัก 54% แล้ว

แต่ที่ทั้งสองฝ่ายยังคงต้องขึ้นอากรตอบโต้กันไปมาและเสี่ยงเป็น “ตัวตลก” ในสายตาของชาวโลก ก็เพื่อรักษา “ศักดิ์ศรี” และ “หน้าตา” รวมทั้ง “สถานะ” เพื่อประโยชน์ในการเจรจาต่อรองของตนเองเอาไว้ 

ประการที่ 2 การตอบโต้ในรูปแบบอื่นและระดับที่สูงกว่า นอกจากการเก็บอากรตอบโต้แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ในอัตราเดียวกันแล้ว จีนยังดำเนินนโยบายและมาตรการกีดกัน “ที่มิใช่ภาษี” ที่เราเรียกกันติดปากว่า “NTBs” ซึ่งเป็นเสมือนกับการตอบโต้สหรัฐฯ ในลักษณะ “อากรพลัส” (Tariff Plus) ที่กว้างขวางมากกว่าการเรียกเก็บอากรนำเข้า

โดยการตอบโต้ของจีนเริ่มเปลี่ยนแนวทางจากมาตรการเรียกเก็บอากรนำเข้า “สินค้า” ไปสู่การกีดกันด้านอื่น อาทิ มาตรฐานสินค้า ธุรกิจบริการ เทคโนโลยี การประกอบธุรกิจ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนและทรัพยากรมนุษย์

รวมทั้งการจำกัดการส่งออกสินค้าบางรายการ
อาทิ การยกเลิกใบอนุญาตนำเข้าสินค้าเกษตรอันเนื่องจากการตรวจพบสารเคลือบที่มีค่าต่ำกว่ามาตรฐานการนำเข้า ซึ่งนั่นจะส่งผลข้างเคียงต่อการนำเข้าของจีนจากสหรัฐฯ ในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น หลังทั้งสองประเทศจะเพิกถอนการเรียกเก็บอากรนำเข้าไปแล้วก็ตาม 

เมื่อไม่นานนี้ กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีน ยังประกาศเตือนชาวจีนที่วางแผนจะเดินทางไปสหรัฐฯ ให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย ส่วนหนึ่งอาจเพราะทุกวันนี้ ชาวอเมริกันจำนวนมากมีความคิดที่แปลกแยกและสุดขั้ว เช่น กรณีของทรัมป์ “ครึ่งหนึ่งรัก อีกครึ่งหนึ่งเกลียด” จีนจึงเกรงว่ากระแส “เกลียดเอเซีย” (Asian Hates) อาจจะกลับมาอย่างไม่คาดฝัน 

โดยที่คำเตือนของรัฐบาลจีนนับว่ามี “น้ำหนักมาก” จึงถือเป็นการส่งสัญญาณบอกชาวจีนในทางอ้อม ไม่ให้เดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ไปโดยปริยาย นี่เป็นเหมือน “การแยกขั้ว” ที่กระจายตัวลงสู่ภาคประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมเลยทีเดียว

จีนยังออกมาตรการควบคุมการส่งออก (Export Controls) สินค้าบางรายการ อาทิ แร่หายาก (Rare Earth) ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และการคุมเข้มด้านทรัพย์สินทางปัญญา อาทิ การลดโควต้าจำนวนภาพยนตร์ และละครอเมริกันที่จะฉายในจีนในแต่ละปี 

ต่อมา เรายังเห็นจีนสั่งระงับการรับมอบเครื่องบินโบอิ้งและสินค้าส่งออกหลักอื่นจากสหรัฐฯ (เพราะหากรับมอบมาแล้วใครจะแบกรับอากรนำเข้า 145% ที่ประกาศไว้) เฉพาะในส่วนนี้ โบอิ้งน่าจะสูญเสียโอกาสในการส่งออกเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่างน้อย 200 ลำ คิดเป็นมูลค่าราว 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 2025-2028

นอกจากนี้ จีนยังตรวจสอบพฤติกรรมทางธุรกิจ อาทิ การส่งออกสินค้าที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ และการทหาร (Dual-Use Export) และขึ้นบัญชีดำกิจการของสหรัฐฯ รวมเกือบ 20 ราย อาทิ Dupont, American Photonics, Novatech, Echodyne, Marvin Engineering, Exovera, Shield AI และ Sierra Nevada รวมทั้งสื่อหลักอีกหลายค่าย โดยกล่าวหาองค์กรเหล่านี้ซัพพลายสินค้า ข้อมูล และเทคโนโลยีให้เพนตากอน หรือเกี่ยวข้องการนำเข้า-ส่งออกอาวุธให้ไต้หวัน เป็นต้น

ประการที่ 3 การกระจายแหล่งซัพพลายสินค้าที่จีนนำเข้า (Import Diversification) และพยายามพัฒนาการผลิตภายในประเทศ เพื่อลดระดับการพึ่งพาและความเสี่ยงจากการนำเข้าสินค้าจากประเทศใดประเทศหนึ่ง (Import Substitution)

ผมขอเรียนว่า นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่แต่อย่างใด เพราะจีนดำเนินการเรื่องนี้มานับแต่ปี 2018 เมื่อครั้งเผชิญกับสงครามการค้า 1.0 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าส่งออกสำคัญที่เป็นเสมือน “กล่องดวงใจ” ของสหรัฐฯ อย่างสินค้าพลังงาน เกษตร และอาหาร 

ในช่วงเวลาดังกล่าว จีนลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าพลังงานจากสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง และหันไปเพิ่มนำเข้าจากแหล่งอื่น อาทิ ตะวันออกกลาง เอเซียกลาง และ รัสเซีย ทำให้การนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ ต่อการนำเข้าโดยรวมของจีนลดลงมาอยู่ในระดับเลขตัวเดียวแล้วในปัจจุบัน

ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับสินค้าเกษตร โดยจีนลดการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์จากสหรัฐฯ ลงสู่ในระดับที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ สถิติระบุว่า การนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ลดลงจากราว 30 ล้านตัน ในปี 2020 เหลือราว 22 ล้านตันในปี 2024 ส่งผลให้สหรัฐฯ กลายเป็นแหล่งซัพพลายอันดับที่ 2 ของจีน แต่ในทางกลับกัน การนำเข้าของจีนดังกล่าว ก็มีสัดส่วนถึงราวครึ่งหนึ่งของการส่งออกโดยรวมของสหรัฐฯ 

ขณะที่การนำเข้าข้าวโพดสหรัฐฯ สู่ตลาดจีนในระหว่างปี 2018-2022 ก็ลดลงจากเฉลี่ย 8.5 ล้านตัน เหลือเพียงราว 2 ล้านตันในปี 2024 

การขาดหายไปของลูกค้ารายใหญ่อย่างจีน จึงน่าจะส่งผลกระทบกับเกษตรกรและผู้มีส่วนได้เสียในสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ และการแสวงหาลูกค้ารายใหม่ ที่คาดว่าจะมีขนาดเล็กกว่าจีน ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรต่อหน่วยลดลง ซ้ำรอยกับที่เคยเกิดขึ้นในสมัยสงครามการค้า 1.0

นอกจากมิติในเชิงเศรษฐกิจ ที่สินค้าเหล่านี้มีต้นทุนการจัดเก็บสูงและเน่าเสียง่ายแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์ยังซ่อนไว้ซึ่งมิติทางการเมือง เพราะเกษตรกรในพื้นที่ตอนกลางของสหรัฐฯ อาทิ เวสต์เวอร์จิเนีย โอคลาโอมา อาร์คันซอ และ แคนซัส เป็นฐานคะแนนเสียงใหญ่ของทรัมป์

                                           สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ จบที่ไหน กี่โมง (3)

คำถามสำคัญตามมาก็คือ แล้วจีนไปหาซื้อถั่วเหลือง ข้าวโพด และสินค้าเกษตรอื่น จำนวนมหาศาลจากที่ไหนไปทดแทนสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ... 

คำตอบก็คือ บราซิล อาร์เจนตินา ยูเครน และ ประเทศอื่น ผมขอเรียนว่า ในช่วงหลายปีหลัง จีนได้พัฒนาความสัมพันธ์และดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในหลายด้านกับประเทศเหล่านั้น เราอาจได้ยินข่าวใหญ่เกี่ยวกับการเข้าบริหารท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่เปรู ซึ่งเป็นท่าเรือขนาดใหญ่สุดของอเมริกาใต้ พร้อมโครงข่ายการขนส่งเชื่อมโยงกับพื้นที่หลังท่าที่กระจายตัวกับหลายประเทศในภูมิภาค 

ขณะเดียวกัน จีนก็ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชและเทคโนโลยีด้านการเกษตร และนำเอาผลงานไปแบ่งปันและพัฒนากับประเทศดังกล่าว ซึ่งทำให้ผลิตภาพทางการเกษตรดีขึ้น และมีต้นทุนการเพาะปลูกที่ต่ำลง พร้อมดำเนินโครงการรับซื้อผลผลิตเหล่านั้นกลับสู่จีนในราคาที่เหมาะสม

ทางเลือกประการที่ 4 ของจีนก็ได้แก่ การกระจายตลาดส่งออก (Market Diversification) ซึ่งจีนทำมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีหลัง และผมเชื่อมั่นว่าจีนจะทำในเชิงรุกต่อไปในอนาคต 

ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2018-2024 การส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ลดลงจาก 19.2% เหลือ 14.7% ของการส่งออกโดยรวมของจีน โดยตลาดสหรัฐฯ มีระดับการพึ่งพาสินค้าจีนค่อนข้างสูงในหลายรายการสินค้า อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค (ของใช้ในชีวิตประจำวัน) สินค้าขั้นกลาง (เหล็กและอลูมิเนียม) และสินค้าไฮเทค (เซมิคอนดักเตอร์ สมาร์ตโฟน และคอมพิวเตอร์) ทั้งนี้ สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าบางประเภท/รายการจากจีนมากกว่า 50% ของการนำเข้าโดยรวม 

ขณะเดียวกัน จีนก็ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนของตลาดประเทศอื่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น การส่งออกของจีนสู่อาเซียนเพิ่มขึ้นจาก 12.8% ในปี 2018 เป็น 16.4% ในปี 2024 และสู่ประเทศตามแนว “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (BRI) จากสัดส่วน 38.7% เป็น 47.8% ของการส่งออกโดยรวม

ประการถัดมา จีนยังใช้กลยุทธ์การขยายตลาดภายในประเทศ (Domestic Market Expansion) โดยที่ประชุม 2 สภา เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2025 ได้อนุมัตินโยบายการเพิ่มรายได้และและสวัสดิการ อาทิ เบี้ยบำนาญแก่ผู้สูงอายุ และขยายการจ้างงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของภาคประชาชน 

ขณะเดียวกัน จีนยังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีภาคบริโภคเป็นตัวนำมากขึ้น โดยเดินหน้าแคมเปญ “เก่าแลกใหม่” (Trade-in Program) ในระดับที่สูงขึ้น โดยเพิ่มอัตราการอุดหนุนขึ้นไปถึง 15-18% ในแต่ละรายการสินค้า อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ตโฟน และยานยนต์ และขยายวงเงินอุดหนุนจาก 150,000 ล้านหยวนในปี 2024 เป็น 300,000 ล้านหยวน ในปี 2025

หลังการประชุมไม่นาน ผมสังเกตเห็นรัฐบาลกลางของจีนเปิดแถลงข่าว “แผนงานพิเศษ” (Special Action Plan) ที่หลายฝ่ายชื่นชมว่า แผนนี้ “ครบเครื่อง” มากที่สุดนับแต่ปลายทศวรรษ 1970 ขณะที่รัฐบาลในระดับมณฑลก็ออกมา “รับลูก” ด้วยการออกแนวปฏิบัติที่กว้างขวางกว่าปีก่อนกันเป็นแถว 

เช่น นครเซี่ยงไฮ้ขยายรายการสินค้าภายใต้แคมเปญนี้ให้ครอบคลุมถึงรถยนต์เก่าที่มีใบอนุญาตต่างประเทศ ขณะที่มณฑลเหอหนานก็กำหนดวงเงินอุดหนุนสำหรับการปรับปรุงและตกแต่งบ้าน ห้องครัว และห้องน้ำที่ระดับ 20,000 หยวนต่อห้อง 

อีกเรื่องหนึ่งที่จีนทำมาระยะเวลาหนึ่ง และขยายผลอย่างต่อเนื่องก็ได้แก่ นโยบายวีซ่าฟรี (Visa Free) ที่จีนเปิดให้ชาวต่างชาติจากกว่า 50 ประเทศ เดินทางเข้าจีนเพื่อการท่องเที่ยว ประกอบธุรกิจ เยี่ยมญาติพี่น้อง และเปลี่ยนเครื่อง โดยไม่ต้องยื่นขอวีซ่าก่อนแต่อย่างใด 

แน่นอนว่า มาตรการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ ทำให้ภาคการผลิตและการจ้างงานในจีนยังคงความกระชุ่มกระชวยเอาไว้ได้ ทดแทนการขาดหายไปของตลาดสหรัฐฯ ได้ในระดับหนึ่ง  

อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ ราว 85% ของธุรกิจจีน พึ่งพาตลาดจีนเป็นสำคัญ โดยมีรายได้จากตลาดภายในประเทศคิดเป็นราว 75% ของรายได้โดยรวม นั่นเท่ากับว่า ธุรกิจจีนพึ่งพาตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 25% ของรายได้โดยรวม และรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของรายได้จากตลาดต่างปรเทศเท่านั้น 

นอกจากนี้ ที่ประชุม 2 สภาของจีน ยังเห็นชอบให้ดำเนินนโยบายการคลังที่ยืดหยุ่นขึ้น โดยเพิ่มระดับการขาดดุลงบประมาณขึ้นเป็น 4% และให้ความสำคัญกับการลงทุนของภาคเอกชน

เราจึงเห็นการประชุมหารือของผู้นำและผู้บริหารระดับสูงของจีนกับเอกชนของจีนและต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจการไฮเทคอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทำให้สามารถพลิกฟื้นความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจจีนได้เป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ หาก Reciprocal Tariffs และมาตรการกีดกันอื่นถาโถมเพิ่มขึ้น เราก็น่าจะเห็นการประกาศมาตรการการเงินการคลังคลอดออกมา อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ยและสัดส่วนสำรองเงินสดธนาคารพาณิชย์ (RRR) รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นเพื่อหวังรักษาโมเมนตัม และบรรลุเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่กำหนดไว้ 5% ให้ได้
ฉากทัศน์ในอนาคต ผลกระทบและสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นและระยะยาวก็เป็นประเด็นที่ท่านผู้อ่านสนใจมากเช่นกัน ...

ฉากทัศน์แรก การต่อสู้ในครั้งนี้จะรุนแรงและยืดเยื้อเพียงใด? มาถึงวันนี้ผมมองว่า “ความรุนแรง” ได้ไถลไปไกลเกินคาดแล้ว นี่ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่สุดในยุคหลังสงครามครั้งที่ 2 บางคนถึงขนาดเปรยว่า งานนี้ “ใครกระพริบตาก่อนแพ้” กันเลยทีเดียว เพราะนั่นอาจหมายถึงการนำไปสู่การจัดระเบียบสังคมโลกครั้งใหม่

แต่ประเด็นว่าจะขยายวงและยืดเยื้อเพียงใดนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา ในประการหนึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้บริหารที่ “เข็มขัดสั้น” หลายสิ่งที่ท่านคิดและบังคับใช้ในช่วงที่ผ่านมา และจะกำหนดเพิ่มเติมในอนาคตเป็นสิ่งที่ “คาดไม่ถึง” แต่ผมก็คาดว่า ทั้งสองฝ่ายจะเริ่ม “หาทางลง” และกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ประการถัดมา ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมว่า การต่อกรกันระหว่างพญาอินทรีและมังกรในครั้งนี้นับว่า “สมน้ำสมเนื้อ” ราวกับคู่มวยหยุดโลก เราจึงเห็นตอบโต้กันอย่าง “ถึงพริกถึงขิง” ชนิดที่ไม่มีฝ่ายใดยอม “ลดราวาศอก” ระหว่างกัน 

เราได้เห็นทั้งสองฝ่ายต่างแสดง “ท่าที” และตอกย้ำ “จุดยืน” ของตนเองเพื่อปลุกขวัญกำลังใจคนในชาติ และข่มขวัญอีกฝ่ายหนึ่งอยู่เป็นระยะ เช่น ทรัมป์เรียกร้องให้อเมริกันชนอดทน และเน้นย้ำว่าสหรัฐฯ จะเป็นผู้ชนะในที่สุด ขณะที่ฝ่ายจีนกล่าวว่า นี่อาจเป็นการ “ฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ” ของสหรัฐฯ และ “จะต่อสู้จนถึงที่สุด”

อ่านฉากทัศน์อื่นต่อในตอนหน้าครับ ...