ทางเลือกของจีนเมื่อสหรัฐฯ เก็บอากรนำเข้าในอัตรา 145%? นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ FC ให้ความสนใจและสอบถามเข้ามามาก จีนมีทางเลือกหลากหลายและเตรียมการรับมือในเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว และน่าจะเดินหน้าอย่างเต็มสูบในอนาคต
ประการแรก จีนยังคงยึดแนวทางเดิม “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (Tit for Tat) ที่ประกาศและถือปฏิบัติมาก่อนหน้านี้ เพื่อรักษาหลักการค้าเสรี และพัฒนาความร่วมมือบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วม ซึ่ง สี จิ้นผิง ได้บอกกับ ทรัมป์ ในโอกาสแสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี และผู้แทนรัฐบาลจีนได้ตอกย้ำจุดยืนดังกล่าวอีกหลายครั้งหลายหนต่างกรรมต่างวาระกันในเวลาต่อมา
ดังนั้น เมื่อทรัมป์ยังคงยืนกรานที่จะเปิดเกม “กีดกันทางการค้า” ตามกลยุทธ์ “The Art of the Deal” ที่ถนัด จีนจึงอาศัย “The Art of War” เรียกเก็บอากรนำเข้าตอบโต้สหรัฐฯ แบบ “วันต่อวัน” จนชาวโลกต่างจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยส่วนใหญ่แอบ “เอาใจช่วย” จีนให้ต่อสู้กับความอยุติธรรมและอหังการของสหรัฐฯ ในครั้งนี้อยู่ลึกๆ
อย่างไรก็ดี ภายหลังการตอบโต้ครั้งล่าสุด ที่ดันอัตราอากรนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ขึ้นไปแตะระดับ 125% จีนก็ประกาศว่าจะไม่เสียเวลากับมาตรการ “ขึ้นภาษี” ตอบโต้สหรัฐฯ อีกต่อไป เพราะการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ น่าจะชะลอตัวลงจนถึงนิ่งสนิทหลังอัตราภาษีที่เรียกเก็บระหว่างกัน แตะหลัก 54% แล้ว
แต่ที่ทั้งสองฝ่ายยังคงต้องขึ้นอากรตอบโต้กันไปมาและเสี่ยงเป็น “ตัวตลก” ในสายตาของชาวโลก ก็เพื่อรักษา “ศักดิ์ศรี” และ “หน้าตา” รวมทั้ง “สถานะ” เพื่อประโยชน์ในการเจรจาต่อรองของตนเองเอาไว้
ประการที่ 2 การตอบโต้ในรูปแบบอื่นและระดับที่สูงกว่า นอกจากการเก็บอากรตอบโต้แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ในอัตราเดียวกันแล้ว จีนยังดำเนินนโยบายและมาตรการกีดกัน “ที่มิใช่ภาษี” ที่เราเรียกกันติดปากว่า “NTBs” ซึ่งเป็นเสมือนกับการตอบโต้สหรัฐฯ ในลักษณะ “อากรพลัส” (Tariff Plus) ที่กว้างขวางมากกว่าการเรียกเก็บอากรนำเข้า
โดยการตอบโต้ของจีนเริ่มเปลี่ยนแนวทางจากมาตรการเรียกเก็บอากรนำเข้า “สินค้า” ไปสู่การกีดกันด้านอื่น อาทิ มาตรฐานสินค้า ธุรกิจบริการ เทคโนโลยี การประกอบธุรกิจ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนและทรัพยากรมนุษย์
รวมทั้งการจำกัดการส่งออกสินค้าบางรายการ
อาทิ การยกเลิกใบอนุญาตนำเข้าสินค้าเกษตรอันเนื่องจากการตรวจพบสารเคลือบที่มีค่าต่ำกว่ามาตรฐานการนำเข้า ซึ่งนั่นจะส่งผลข้างเคียงต่อการนำเข้าของจีนจากสหรัฐฯ ในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น หลังทั้งสองประเทศจะเพิกถอนการเรียกเก็บอากรนำเข้าไปแล้วก็ตาม
เมื่อไม่นานนี้ กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีน ยังประกาศเตือนชาวจีนที่วางแผนจะเดินทางไปสหรัฐฯ ให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย ส่วนหนึ่งอาจเพราะทุกวันนี้ ชาวอเมริกันจำนวนมากมีความคิดที่แปลกแยกและสุดขั้ว เช่น กรณีของทรัมป์ “ครึ่งหนึ่งรัก อีกครึ่งหนึ่งเกลียด” จีนจึงเกรงว่ากระแส “เกลียดเอเซีย” (Asian Hates) อาจจะกลับมาอย่างไม่คาดฝัน
โดยที่คำเตือนของรัฐบาลจีนนับว่ามี “น้ำหนักมาก” จึงถือเป็นการส่งสัญญาณบอกชาวจีนในทางอ้อม ไม่ให้เดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ไปโดยปริยาย นี่เป็นเหมือน “การแยกขั้ว” ที่กระจายตัวลงสู่ภาคประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมเลยทีเดียว
จีนยังออกมาตรการควบคุมการส่งออก (Export Controls) สินค้าบางรายการ อาทิ แร่หายาก (Rare Earth) ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และการคุมเข้มด้านทรัพย์สินทางปัญญา อาทิ การลดโควต้าจำนวนภาพยนตร์ และละครอเมริกันที่จะฉายในจีนในแต่ละปี
ต่อมา เรายังเห็นจีนสั่งระงับการรับมอบเครื่องบินโบอิ้งและสินค้าส่งออกหลักอื่นจากสหรัฐฯ (เพราะหากรับมอบมาแล้วใครจะแบกรับอากรนำเข้า 145% ที่ประกาศไว้) เฉพาะในส่วนนี้ โบอิ้งน่าจะสูญเสียโอกาสในการส่งออกเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่างน้อย 200 ลำ คิดเป็นมูลค่าราว 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 2025-2028
นอกจากนี้ จีนยังตรวจสอบพฤติกรรมทางธุรกิจ อาทิ การส่งออกสินค้าที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ และการทหาร (Dual-Use Export) และขึ้นบัญชีดำกิจการของสหรัฐฯ รวมเกือบ 20 ราย อาทิ Dupont, American Photonics, Novatech, Echodyne, Marvin Engineering, Exovera, Shield AI และ Sierra Nevada รวมทั้งสื่อหลักอีกหลายค่าย โดยกล่าวหาองค์กรเหล่านี้ซัพพลายสินค้า ข้อมูล และเทคโนโลยีให้เพนตากอน หรือเกี่ยวข้องการนำเข้า-ส่งออกอาวุธให้ไต้หวัน เป็นต้น
ประการที่ 3 การกระจายแหล่งซัพพลายสินค้าที่จีนนำเข้า (Import Diversification) และพยายามพัฒนาการผลิตภายในประเทศ เพื่อลดระดับการพึ่งพาและความเสี่ยงจากการนำเข้าสินค้าจากประเทศใดประเทศหนึ่ง (Import Substitution)
ผมขอเรียนว่า นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่แต่อย่างใด เพราะจีนดำเนินการเรื่องนี้มานับแต่ปี 2018 เมื่อครั้งเผชิญกับสงครามการค้า 1.0 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าส่งออกสำคัญที่เป็นเสมือน “กล่องดวงใจ” ของสหรัฐฯ อย่างสินค้าพลังงาน เกษตร และอาหาร
ในช่วงเวลาดังกล่าว จีนลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าพลังงานจากสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง และหันไปเพิ่มนำเข้าจากแหล่งอื่น อาทิ ตะวันออกกลาง เอเซียกลาง และ รัสเซีย ทำให้การนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ ต่อการนำเข้าโดยรวมของจีนลดลงมาอยู่ในระดับเลขตัวเดียวแล้วในปัจจุบัน
ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับสินค้าเกษตร โดยจีนลดการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์จากสหรัฐฯ ลงสู่ในระดับที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ สถิติระบุว่า การนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ลดลงจากราว 30 ล้านตัน ในปี 2020 เหลือราว 22 ล้านตันในปี 2024 ส่งผลให้สหรัฐฯ กลายเป็นแหล่งซัพพลายอันดับที่ 2 ของจีน แต่ในทางกลับกัน การนำเข้าของจีนดังกล่าว ก็มีสัดส่วนถึงราวครึ่งหนึ่งของการส่งออกโดยรวมของสหรัฐฯ
ขณะที่การนำเข้าข้าวโพดสหรัฐฯ สู่ตลาดจีนในระหว่างปี 2018-2022 ก็ลดลงจากเฉลี่ย 8.5 ล้านตัน เหลือเพียงราว 2 ล้านตันในปี 2024
การขาดหายไปของลูกค้ารายใหญ่อย่างจีน จึงน่าจะส่งผลกระทบกับเกษตรกรและผู้มีส่วนได้เสียในสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ และการแสวงหาลูกค้ารายใหม่ ที่คาดว่าจะมีขนาดเล็กกว่าจีน ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรต่อหน่วยลดลง ซ้ำรอยกับที่เคยเกิดขึ้นในสมัยสงครามการค้า 1.0
นอกจากมิติในเชิงเศรษฐกิจ ที่สินค้าเหล่านี้มีต้นทุนการจัดเก็บสูงและเน่าเสียง่ายแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์ยังซ่อนไว้ซึ่งมิติทางการเมือง เพราะเกษตรกรในพื้นที่ตอนกลางของสหรัฐฯ อาทิ เวสต์เวอร์จิเนีย โอคลาโอมา อาร์คันซอ และ แคนซัส เป็นฐานคะแนนเสียงใหญ่ของทรัมป์
คำถามสำคัญตามมาก็คือ แล้วจีนไปหาซื้อถั่วเหลือง ข้าวโพด และสินค้าเกษตรอื่น จำนวนมหาศาลจากที่ไหนไปทดแทนสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ...
คำตอบก็คือ บราซิล อาร์เจนตินา ยูเครน และ ประเทศอื่น ผมขอเรียนว่า ในช่วงหลายปีหลัง จีนได้พัฒนาความสัมพันธ์และดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในหลายด้านกับประเทศเหล่านั้น เราอาจได้ยินข่าวใหญ่เกี่ยวกับการเข้าบริหารท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่เปรู ซึ่งเป็นท่าเรือขนาดใหญ่สุดของอเมริกาใต้ พร้อมโครงข่ายการขนส่งเชื่อมโยงกับพื้นที่หลังท่าที่กระจายตัวกับหลายประเทศในภูมิภาค
ขณะเดียวกัน จีนก็ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชและเทคโนโลยีด้านการเกษตร และนำเอาผลงานไปแบ่งปันและพัฒนากับประเทศดังกล่าว ซึ่งทำให้ผลิตภาพทางการเกษตรดีขึ้น และมีต้นทุนการเพาะปลูกที่ต่ำลง พร้อมดำเนินโครงการรับซื้อผลผลิตเหล่านั้นกลับสู่จีนในราคาที่เหมาะสม
ทางเลือกประการที่ 4 ของจีนก็ได้แก่ การกระจายตลาดส่งออก (Market Diversification) ซึ่งจีนทำมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีหลัง และผมเชื่อมั่นว่าจีนจะทำในเชิงรุกต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2018-2024 การส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ลดลงจาก 19.2% เหลือ 14.7% ของการส่งออกโดยรวมของจีน โดยตลาดสหรัฐฯ มีระดับการพึ่งพาสินค้าจีนค่อนข้างสูงในหลายรายการสินค้า อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค (ของใช้ในชีวิตประจำวัน) สินค้าขั้นกลาง (เหล็กและอลูมิเนียม) และสินค้าไฮเทค (เซมิคอนดักเตอร์ สมาร์ตโฟน และคอมพิวเตอร์) ทั้งนี้ สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าบางประเภท/รายการจากจีนมากกว่า 50% ของการนำเข้าโดยรวม
ขณะเดียวกัน จีนก็ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนของตลาดประเทศอื่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น การส่งออกของจีนสู่อาเซียนเพิ่มขึ้นจาก 12.8% ในปี 2018 เป็น 16.4% ในปี 2024 และสู่ประเทศตามแนว “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (BRI) จากสัดส่วน 38.7% เป็น 47.8% ของการส่งออกโดยรวม
ประการถัดมา จีนยังใช้กลยุทธ์การขยายตลาดภายในประเทศ (Domestic Market Expansion) โดยที่ประชุม 2 สภา เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2025 ได้อนุมัตินโยบายการเพิ่มรายได้และและสวัสดิการ อาทิ เบี้ยบำนาญแก่ผู้สูงอายุ และขยายการจ้างงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของภาคประชาชน
ขณะเดียวกัน จีนยังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีภาคบริโภคเป็นตัวนำมากขึ้น โดยเดินหน้าแคมเปญ “เก่าแลกใหม่” (Trade-in Program) ในระดับที่สูงขึ้น โดยเพิ่มอัตราการอุดหนุนขึ้นไปถึง 15-18% ในแต่ละรายการสินค้า อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ตโฟน และยานยนต์ และขยายวงเงินอุดหนุนจาก 150,000 ล้านหยวนในปี 2024 เป็น 300,000 ล้านหยวน ในปี 2025
หลังการประชุมไม่นาน ผมสังเกตเห็นรัฐบาลกลางของจีนเปิดแถลงข่าว “แผนงานพิเศษ” (Special Action Plan) ที่หลายฝ่ายชื่นชมว่า แผนนี้ “ครบเครื่อง” มากที่สุดนับแต่ปลายทศวรรษ 1970 ขณะที่รัฐบาลในระดับมณฑลก็ออกมา “รับลูก” ด้วยการออกแนวปฏิบัติที่กว้างขวางกว่าปีก่อนกันเป็นแถว
เช่น นครเซี่ยงไฮ้ขยายรายการสินค้าภายใต้แคมเปญนี้ให้ครอบคลุมถึงรถยนต์เก่าที่มีใบอนุญาตต่างประเทศ ขณะที่มณฑลเหอหนานก็กำหนดวงเงินอุดหนุนสำหรับการปรับปรุงและตกแต่งบ้าน ห้องครัว และห้องน้ำที่ระดับ 20,000 หยวนต่อห้อง
อีกเรื่องหนึ่งที่จีนทำมาระยะเวลาหนึ่ง และขยายผลอย่างต่อเนื่องก็ได้แก่ นโยบายวีซ่าฟรี (Visa Free) ที่จีนเปิดให้ชาวต่างชาติจากกว่า 50 ประเทศ เดินทางเข้าจีนเพื่อการท่องเที่ยว ประกอบธุรกิจ เยี่ยมญาติพี่น้อง และเปลี่ยนเครื่อง โดยไม่ต้องยื่นขอวีซ่าก่อนแต่อย่างใด
แน่นอนว่า มาตรการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ ทำให้ภาคการผลิตและการจ้างงานในจีนยังคงความกระชุ่มกระชวยเอาไว้ได้ ทดแทนการขาดหายไปของตลาดสหรัฐฯ ได้ในระดับหนึ่ง
อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ ราว 85% ของธุรกิจจีน พึ่งพาตลาดจีนเป็นสำคัญ โดยมีรายได้จากตลาดภายในประเทศคิดเป็นราว 75% ของรายได้โดยรวม นั่นเท่ากับว่า ธุรกิจจีนพึ่งพาตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 25% ของรายได้โดยรวม และรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของรายได้จากตลาดต่างปรเทศเท่านั้น
นอกจากนี้ ที่ประชุม 2 สภาของจีน ยังเห็นชอบให้ดำเนินนโยบายการคลังที่ยืดหยุ่นขึ้น โดยเพิ่มระดับการขาดดุลงบประมาณขึ้นเป็น 4% และให้ความสำคัญกับการลงทุนของภาคเอกชน
เราจึงเห็นการประชุมหารือของผู้นำและผู้บริหารระดับสูงของจีนกับเอกชนของจีนและต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจการไฮเทคอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทำให้สามารถพลิกฟื้นความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจจีนได้เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ หาก Reciprocal Tariffs และมาตรการกีดกันอื่นถาโถมเพิ่มขึ้น เราก็น่าจะเห็นการประกาศมาตรการการเงินการคลังคลอดออกมา อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ยและสัดส่วนสำรองเงินสดธนาคารพาณิชย์ (RRR) รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นเพื่อหวังรักษาโมเมนตัม และบรรลุเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่กำหนดไว้ 5% ให้ได้
ฉากทัศน์ในอนาคต ผลกระทบและสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นและระยะยาวก็เป็นประเด็นที่ท่านผู้อ่านสนใจมากเช่นกัน ...
ฉากทัศน์แรก การต่อสู้ในครั้งนี้จะรุนแรงและยืดเยื้อเพียงใด? มาถึงวันนี้ผมมองว่า “ความรุนแรง” ได้ไถลไปไกลเกินคาดแล้ว นี่ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่สุดในยุคหลังสงครามครั้งที่ 2 บางคนถึงขนาดเปรยว่า งานนี้ “ใครกระพริบตาก่อนแพ้” กันเลยทีเดียว เพราะนั่นอาจหมายถึงการนำไปสู่การจัดระเบียบสังคมโลกครั้งใหม่
แต่ประเด็นว่าจะขยายวงและยืดเยื้อเพียงใดนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา ในประการหนึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้บริหารที่ “เข็มขัดสั้น” หลายสิ่งที่ท่านคิดและบังคับใช้ในช่วงที่ผ่านมา และจะกำหนดเพิ่มเติมในอนาคตเป็นสิ่งที่ “คาดไม่ถึง” แต่ผมก็คาดว่า ทั้งสองฝ่ายจะเริ่ม “หาทางลง” และกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ประการถัดมา ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมว่า การต่อกรกันระหว่างพญาอินทรีและมังกรในครั้งนี้นับว่า “สมน้ำสมเนื้อ” ราวกับคู่มวยหยุดโลก เราจึงเห็นตอบโต้กันอย่าง “ถึงพริกถึงขิง” ชนิดที่ไม่มีฝ่ายใดยอม “ลดราวาศอก” ระหว่างกัน
เราได้เห็นทั้งสองฝ่ายต่างแสดง “ท่าที” และตอกย้ำ “จุดยืน” ของตนเองเพื่อปลุกขวัญกำลังใจคนในชาติ และข่มขวัญอีกฝ่ายหนึ่งอยู่เป็นระยะ เช่น ทรัมป์เรียกร้องให้อเมริกันชนอดทน และเน้นย้ำว่าสหรัฐฯ จะเป็นผู้ชนะในที่สุด ขณะที่ฝ่ายจีนกล่าวว่า นี่อาจเป็นการ “ฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ” ของสหรัฐฯ และ “จะต่อสู้จนถึงที่สุด”
อ่านฉากทัศน์อื่นต่อในตอนหน้าครับ ...