สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์จบที่ไหน กี่โมง (2)

24 เม.ย. 2568 | 23:00 น.

สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์จบที่ไหน กี่โมง (2) : คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ฐานเศรษฐกิจ

เราต้องไม่ลืมว่า ความพยายามในครั้งนี้ ยังรวมถึงการดึงธุรกิจเชิงยุทธศาสตร์ให้กลับไปลงทุนที่สหรัฐฯ และลดการลงทุนในจีน เพื่อทำให้สหรัฐฯ เป็นฐานการผลิตสินค้านวัตกรรมที่โดดเด่นอย่างแท้จริง นำไปสู่การแยกขั้วของห่วงโซ่อุปทาน และอุตสาหกรรมออกจากกัน

การกระทำดังกล่าวสะท้อนว่า สหรัฐฯ เดินเกมนี้เพื่อสกัดการเติบใหญ่ของจีนไม่เพียงด้าน “เศรษฐกิจ” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้าน “การเมือง” ในเวทีโลก 

ก่อนหน้านี้ ผมพยายามติดตามการ “หงายไพ่” แต่ละใบของทรัมป์อย่างใกล้ชิด ทีแรกผมก็คิดอยู่ว่า ความต้องการสงบศึกระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน เป็นความพยายามที่ ทรัมป์ อยากแยกรัสเซียออกจากอ้อมกอดของจีน เพื่อให้ “สามก๊ก” เกิดขึ้น และคานอำนาจกันในเวทีโลก แทนที่จะปล่อยให้รัสเซีย และ จีน ผลึกกำลังกัน และเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ ในระยะยาว

แต่ดูเหมือนว่าการเปิดเกม Reciprocal Tariffs กำลังนำไปสู่ความพยายามในการจัดระเบียบโลกครั้งใหม่เลยทีเดียว เมื่อพิจารณาจากเปลือกนอก อากรต่างตอบแทนดูเหมือนเป็นเพียงการต่อสู้ทางภาษีและการค้า แต่ลึกลงไปแล้ว มาตรการนี้เป็นกลไกที่จะนำไปสู่การปะทะกันในผลประโยชน์หลัก ระหว่างอํานาจเดิม กับ อํานาจใหม่ ความขัดแย้งนี้อาจหมายถึงการล่มสลายของระเบียบสังคมโลกเก่า และนำไปสู่การกำหนดระเบียบสังคมโลกใหม่

ในประเด็นนี้ Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Fund กล่าวไว้อย่างน่าคิดเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “เรากําลังอยู่ระหว่างการล่มสลายอย่างเป็นระบบของระบบการเงิน การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์โลก” 

อุตสาหกรรมไฮเทคและธุรกิจบริการ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเปรียบเสมือนก้อนเค้กที่ “หวานมันสุด” ของสหรัฐฯ แต่ภายหลังความสำเร็จของจีน ในการยกระดับภาคการผลิตอย่างต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้น ไปสู่โลว์เทคเข้มข้น และไฮเทคเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบาย Made in China 2025 

จีนสามารถพัฒนานวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปอย่างรุดหน้า จนกลายเป็น “โรงงานของโลก” ครองสัดส่วนมากกว่า 40% ของราว 500 รายการของสินค้าอุตสาหกรรมโลก ขณะที่หลายบริษัทของจีนก้าวทาบชั้นของสหรัฐฯ ในหลายด้าน อาทิ 

•ระบบสื่อสาร (Huawei, China Mobile, ZTE และ Xiaomi) 

•ยานยนต์ไฟฟ้า (BYD, NIO, XPeng, Geely, Li Auto และ Xiaomi) 

•โดรน (DJI, Autel Robotics, Yuneec International, EHang และ JOUAV)

ทำนองเดียวกัน ก็เกิดขึ้นกับภาคบริการที่จีนพัฒนาธุรกิจบริการจำนวนมากสู่ระดับโลก อาทิ 

•การเงิน (ICBC, Agricultural Bank of China, China Construction Bank, Bank of China, China Life Insurance และ PingAn) 

•การออกแบบก่อสร้าง (China State Construction Engineering, China Energy Engineering และ Shanghai Construction) 

•การค้าปลีกสมัยใหม่ (Pinduoduo, ByteDance, JD.com, Meituan, Taobao และ Tmall) 

•ลอจิสติกส์ (Cosco Shipping, SF Express และ Debon Logistics)

•เทคโนโลยีระดับสูง (Tencent, Alibaba และ Baidu)
เท่านั้นไม่พอ จีนยังคงเดินหน้าลุยต่อด้วยการวางแผนยกระดับภาคการผลิตด้วยนโยบาย New-Quality Productive Forces ขยายการใช้งานระบบเงินหยวนดิจิตัล (Digital RMB) ผ่าน Digital Silk Road และอื่นๆ

หากเป็นเช่นนั้นจริง รายได้และผลกำไรจากการส่งออกของสินค้านวัตกรรมของสหรัฐฯ จะหดหายไป บทบาทของเงินเหรียญสหรัฐฯ ในเวทีโลกจะลดลง เมื่อความน่าเชื่อถือของเงินเหรียญสหรัฐฯ ในสายตาของชาวโลกเสื่อมถอยลง ก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ ในระยะยาว

สหรัฐฯ ย่อมไม่อาจปล่อยให้สถานการณ์เศรษฐกิจ และค่าเงินถลำลึกไปเช่นนั้น ทรัมป์จึงแก้เกมด้วยการใช้ Reciprocal Tariffs และแคมเปญ “America First” เพื่อหวังสร้างรายได้จากการเก็บอากรนำเข้าและการส่งออกในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งการลงทุนด้านการผลิตและการจ้างแรงงานคุณภาพในสหรัฐฯ 

หากแนวคิดของทรัมป์เกิดเป็นรูปธรรม ก็จะนำไปสู่การลดการขาดดุลการค้า และการไหลของเงินเหรียญสหรัฐฯ จากนานาประเทศกลับสู่มาตุภูมิ ซึ่งเป็นเสมือนการจัดระเบียบโลกครั้งใหม่ และยังสามารถดึงอำนาจต่อรองให้กลับมาอยู่ในการควบคุมของ “พญาอินทรี” อีกครั้ง แทนที่จะปล่อยให้ล่องละลอยไปอยู่ในมือของจีน รัสเซีย และกลุ่มอำนาจใหม่ 

แต่ผมคิดว่า สหรัฐฯ ก็ยังมีความเสี่ยงหนึ่งซ่อนอยู่ การดึงเงินเหรียญสหรัฐฯ จากทั่วโลกกลับไปกองไว้ที่อเมริกาอย่างหนักหน่วง อาจทําให้สภาพคล่องของเงินเหรียญสหรัฐฯ ในเวทีโลกแห้งเหือดไป และกระตุ้นให้โลกหันไปใช้เงินสกุลอื่นได้ อาทิ หยวน และ ยูโร

การกำหนดอัตราอากรต่างตอบแทนสมเหตุสมผลหรือไม่? นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผมพยายามคิดตาม โดนัลด์ ทรัมป์ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนอื่น ผมขอทำความเข้าใจก่อนว่า สหรัฐฯ เลือกใช้สูตรการคำนวณอัตราอากรนำเข้าโดยใช้มูลค่าการขาดดุลการค้าเป็นฐาน และหารด้วยมูลค่าการนำเข้าของแต่ละประเทศ 

ผมลองคำนวณตามสูตรเพี้ยนๆ ดังกล่าว ที่ยังไม่ทราบที่มาที่ไปก็พบว่า สหรัฐฯ จะสามารถเรียกเก็บอากรนำเข้าในอัตราเฉลี่ยราว 36% ต่อประเทศ เพราะสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าในปี 2024 อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และนำเข้าสินค้ามูลค่า 3.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

แต่ในข้อเท็จจริงกลับพบว่า สหรัฐฯ เรียกเก็บอากรนำเข้าในอัตราที่หลากหลาย อาที การเก็บอากรนำเข้าขั้นต่ำที่ 10% กับทุกประเทศ แม้กระทั่งกับประเทศที่สหรัฐฯ เกินดุลการค้าอยู่ หรือ ไม่มีการเรียกเก็บอากรนำเข้า หรือไม่มีการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ แต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน โดยที่สูตรการเก็บอากรต่างตอบแทนดังกล่าวยึดเอา “การขาดดุลการค้า” เป็นพื้นฐาน ก็เลยเกิดคำถามถึงความสมเหตุสมผลของการเก็บอากรต่างตอบแทน โดยทรัมป์เน้นย้ำว่า เป็นเพราะว่าประเทศคู่ค้าเอาเปรียบสหรัฐฯ มาเป็นเวลานาน โดยมิได้คำนึงว่าแท้ที่จริงแล้วหัวใจของปัญหาการขาดดุลการค้า ที่ขยายตัวเกิดขึ้นจากการขาดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าสหรัฐฯ ในเวทีการค้าโลก

                              สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์จบที่ไหน กี่โมง (2)

 

อันที่จริงแล้ว สหรัฐฯ นับว่าได้รับประโยชน์อย่างมากจากการค้าและการลงทุนเสรีในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตามระเบียบเศรษฐกิจโลกเดิม สหรัฐฯ เลือกแบ่งเค้กก้อนที่ใหญ่และดีที่สุดเอาไว้ โดยการผลักอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นที่มีมูลค่าเพิ่มและเทคโนโลยีต่ำในเชิงเปรียบเทียบไปผลิตในต่างประเทศ และนำเข้าสินค้าที่มีราคาถูกเหล่านั้นกลับเข้ามาบริโภค 

เงินเหรียญสหรัฐฯ ที่ไหลออกจากสหรัฐฯ สุทธิผ่านการค้าระหว่างประเทศ (เนื่องจากการขาดดุลการค้า) จะถูกดูดกลับสหรัฐฯ ผ่านตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรรัฐบาล ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็นำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ไปผลิตสินค้าและบริการ และบริหารจัดการกฎระเบียบและมาตรฐานการส่งออกเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมูลค่าเพิ่มที่สูงกว่า

ผมขอทำความเข้าใจก่อนว่า ในการประกาศอัตราอากรนำเข้า “ระลอกแรก” สหรัฐฯ ใช้วิธีการแบ่งครึ่ง “หาร 2” และการเลื่อนการบังคับใช้การเรียกเก็บอากรต่างตอบแทนแบบ “หน้ากระดาน” กับนานาประเทศ (ยกเว้นจีน) ออกไป 90 วันนั้น เป็นเพียงการ “ชะลอ” ผลกระทบด้านราคากับเศรษฐกิจภายในประเทศและใช้ช่วงเวลานี้เพื่อการต่อรองเท่านั้น 

นี่ดูจะแย่ยิ่งกว่าการจับประเทศคู่ค้าเหล่านั้นเป็นตัวประกันในสมรภูมิสงครามจริงเสียอีก ยิ่งเมื่อพิจารณาจากคำกล่าวของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำประจำปีของคณะกรรมาธิการรัฐสภาพรรครีพับลิกันเมื่อเดือนเมษายน 2025 ที่ระบุว่า นานาประเทศ “Kissing My Ass” เพื่อเจรจาอัตราอากรนำเข้า 

ในด้านหนึ่ง สุนทรพจน์ท่อนนี้ตอกย้ำถึงพฤติกรรม “ซ้ำซาก” ของทรัมป์ที่ทำเอาชาวโลกต้องขอฟังซ้ำ และขมวดคิ้วกับการประกาศขอซื้อเกาะกรีนแลนด์ของเดนมาร์ก และการแสดงความต้องการที่จะเห็นการผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้

และที่หนักกว่านั้นก็คือ หลังประโยคหยุดลงนั้นจบลง ก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะลั่นของผู้เข้าร่วมงานเลี้ยง ซึ่งอาจตีความได้ว่า ทรัมป์และสมาชิกพรรคฯ ไม่ให้เกียรติแก่ “เชลยศึก” ในสงครามการค้า 2.0 ระลอกแรกอย่างที่ควรจะเป็นในอีกด้านหนึ่ง และเป็นสัญญาณเตือนว่า หากนานาประเทศไม่ยอมรับเงื่อนไขการเจรจาอย่างเหมาะสม การเรียกเก็บอากรนำเข้า “ระลอกสอง” และ “ระลอกถัดไป” ก็อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคต 

คำถามสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ท่านผู้อ่านและชาวโลกจะยอมก้มหน้ายอมรับในเงื่อนไขและพฤติกรรมเยี่ยงนี้ได้หรือไม่ และนานเพียงใด!!!

แน่นอนว่า สหรัฐฯ เองก็ตระหนักดีว่า การเรียกเก็บอากรนำเข้าในอัตราที่สูงในระยะเวลาอันสั้นจะทำให้ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเงินเฟ้อ เพราะสหรัฐฯ จะไม่สามารถสร้างฐานการผลิตใหม่ขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันสั้น และยากที่จะเกิดขึ้นในเชิงของการแข่งขัน เนื่องจากสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าสินค้านำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าอุปโภคบริโภค

ความไม่สมเหตุสมผลอีกประการหนึ่งก็คือ อากรนำเข้าต่างตอบแทนที่สหรัฐฯ กำหนดใช้ยังเป็นเสมือนการพูดเพียงด้านเดียว เพื่อประโยชน์ของตนเอง 

ตามแคมเปญ “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ทรัมป์ ดูจะมีมุมมองที่ “เห็นแก่ตัว” เพราะเลือกที่จะใช้มาตรการกีดกันการนำเข้า “สินค้า” เพียงด้านเดียว แต่กลับไม่พูดถึง “ภาคบริการ” อาทิ การเงินการธนาคาร สื่อ เทคโนโลยี การท่องเที่ยว การศึกษา การค้าปลีก การโรงแรม และการขนส่ง 

อาจกล่าวได้ว่า ภาคบริการเป็นเสมือนหัวใจของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลายทศวรรษหลัง สร้างการจ้างงานคุณภาพคิดเป็นเกือบ 85% ของการจ้างงานโดยรวมในสหรัฐฯ และการเกินดุลการค้าบริการของสหรัฐฯ เหนือคู่ค้าเกือบทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจหลักของโลกอื่นอย่างจีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป หรือแม้กระทั่งเพื่อนบ้านอย่างแคนาดา และเม็กซิโก 

ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า ในปี 2024 สหรัฐฯ เกินดุลการค้าบริการเกือบ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5% จากของปี 2023 และขยายตัวถึง 25% ของปี 2022 

ภาคบริการจึงเปรียบได้ดั่งเครื่องยนต์อันทรงพลังที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และทรัพย์สินทางปัญญาอื่นนับเป็นตัวอย่างที่ดี ภายหลังประสบความสำเร็จในการผลักดันให้ทรัพย์สินทางปัญญาที่สหรัฐฯ มีความได้เปรียบก้าวขึ้นสู่เวทีการค้าโลก สหรัฐฯ ก็เลือกที่จะไม่แบ่งปันสิ่งดีๆ ที่มีอยู่กับประเทศอื่น และยังพยายาม “ผูกขาด“ ด้านบนสุดของห่วงโซ่แห่งคุณค่า 

                      สงครามการค้า 2.0 ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์จบที่ไหน กี่โมง (2)

ลึกลงไปกว่านั้น รายได้และผลกำไรจำนวนมหาศาลที่ทำให้สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มั่งคั่งมากที่สุดในโลก ก็มีลักษณะที่ “กระจุกตัว” อยู่ในกลุ่มคนแค่หยิบมือที่มีอำนาจทางการเงินและเทคโนโลยี 

นี่ยังไม่นับรวมถึงการซ่อนเม็ดเงินจากค่ารอยัลตี้ (Royalty) และรายได้อื่นจากทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้ไว้ใน “สวรรค์แห่งภาษี” (Tax Heaven) เพื่อหลบหลีกการเสียภาษี และในหลายกรณี เม็ดเงินเหล่านั้นก็ดูจะไม่ก่อประโยชน์ด้านการลงทุน การจ้างงาน และอื่นๆ แก่ท้องถิ่นและเศรษฐกิจโดยรวมแต่อย่างใด

ประการสุดท้าย ผมมองว่า การเรียกเก็บอากรต่างตอบแทนไม่สมเหตุสมผล เพราะเป็นการทำลาย “ความฝัน” ในเรื่องการค้าเสรีที่ประชาคมโลก ทุ่มเทตลอดหลายทศวรรษหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GATT) องค์การการค้าโลก (WTO) และข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ในภูมิภาคต่างๆ อันนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรการผลิต และการขยายตัวของการค้าและเศรษฐกิจโลกในที่สุด

นอกจากนี้ การประกาศเก็บอากรต่างตอบแทน ยังเป็นเสมือนการเรียกกลับมาของ Smooth & Hawley Act ที่สหรัฐฯ บังคับใช้ในช่วงทศวรรษ 1930 ทำให้อากรนำเข้าของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 2.5% เป็น 20% ส่งผลให้การส่งออกลดลงถึงครึ่งหนึ่ง ขณะที่การค้าโลกลดลงเกือบ 70% ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และส่งผลข้างเคียงที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาต่อมา

ดังนั้น แม้ว่าทรัมป์จะเชื่อมั่นเหลือเกินว่า การเดินหน้าเรียกเก็บอากรต่างตอบแทนจะทำให้สหรัฐฯ “ได้มากกว่าเสีย” และเรียกร้องให้ชาวอเมริกันอดทนเพื่อชัยชนะที่รออยู่ข้างหน้า แต่มาตรการดังกล่าวก็อยู่บนมุมมองที่ “เอาแต่ได้” โดยไม่คำนึงถึงผลเสียในวงกว้างแต่อย่างใด

เพราะนอกจากศุลกากรและผู้ประกอบการสหรัฐฯ และชาติอื่นๆ “หัวจะปวด” กับการเปลี่ยนแปลงแบบไม่เว้นแต่ละวันแล้ว การดำเนินธุรกิจในหลายประเทศยัง “หยุดชะงัก” อย่างไม่มีอนาคต 

ไม่ว่าผมจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีเพียงใด แต่ผมก็เชื่อมั่นว่า ผลจาก Reciprocal Tariffs แบบหน้ากระดานเรียงหนึ่ง และมาตรการอื่นที่สุดขั้วเช่นนี้ จะส่งผลให้ประชาชน ธุรกิจ และเศรษฐกิจ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องของนานาประเทศ สูญเสียประโยชน์อย่างมหาศาลในหลายมิติ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมชะลอตัวลงอย่างมหาศาล จนยากจะจินตนาการและเยียวยาในเวลาอันสั้น และเพิ่มความเสี่ยงที่นำโลกไปสู่หายนะครั้งใหญ่อีกครั้ง

จีนมีทางออกอย่างไรในการเผชิญกับ “Make America Great Again” และฉากทัศน์ในอนาคตจะเป็นเช่นไร Reciprocal Tariffs จะทำให้แคมเปญที่สวยหรูเปลี่ยนเป็น “Make China Great Again” ได้หรือไม่ ไปอ่านกันต่อในตอนหน้าครับ ...