Dataism เมื่อความเชื่อในมนุษย์ ถูก Disrupt

09 ม.ค. 2562 | 04:30 น.
มนุษย์กับความเชื่อ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สังคมมนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อพื้นฐานบางอย่างเสมอ ในสมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์ให้ความสำคัญกับความเชื่อในธรรมชาติ ความเชื่อในธรรมชาติต่อมาได้มีการพัฒนาเป็นความ เชื่อในเทพเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติ หลังการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 18 มนุษย์ให้ความสำคัญกับ ความเชื่อในมนุษย์ ในปัจจุบันการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 และวิทยาการทางด้าน Information technology และ Biotechnology ส่งผลให้ความเชื่อในข้อมูลมาทดแทนความเชื่อในมนุษย์

ความเชื่อในธรรมชาติ ในยุคสังคมเกษตรกรรมที่ผลผลิตถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ความเป็นอยู่ของมนุษย์ถูกควบคุมโดยธรรมชาติ มนุษย์ในยุคนี้จึงมีความเชื่อและศรัทธาในธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่นํ้า หรือ สัตว์ในตำนาน เช่น มังกรหรือพญานาค

ความเชื่อในเทพเจ้า เมื่อมนุษย์เริ่มพัฒนามากขึ้น ความเชื่อในธรรมชาติก็วิวัฒนาการไปสู่ความเชื่อในเทพเจ้าผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ ภายใต้ความเชื่อนี้คุณค่าของสิ่งต่างๆในสังคม ถูกกำหนดโดยเทพเจ้าหรือศาสนจักร อารยธรรมโบราณส่วนใหญ่ เชื่อว่าผู้ปกครองหรือกษัตริย์ถูกแต่งตั้งโดยเทพเจ้า ในกรณีที่สังคมเกิดความขัดแย้ง ผู้ตัดสินก็จะเป็นนักบวช หรือตัวแทนของเทพเจ้า

ความเชื่อในมนุษย์ ในศตวรรษที่ 18 ความสำเร็จของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) และการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้มนุษย์เข้าใจการทำงานของธรรมชาติและสามารถควบคุมธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของตน ผลของการปฏิวัตินี้ทำให้ความเชื่อในเทพเจ้าถูกแทนที่ด้วยความเชื่อในมนุษย์ที่ว่า มนุษย์มีเจตจำนงเสรี (Free Will) และเป็นผู้ควบคุมและให้คุณค่าสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้

ความเชื่อในมนุษย์นี้เป็นรากฐานของการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งกำหนดให้อำนาจสูงสุดมาจากการเลือกของมนุษย์ ความเชื่อในการตัดสินใจของมนุษย์ยังทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี ซึ่งปริมาณและราคาของสินค้าถูกกำหนดโดยการตัดสินใจของผู้บริโภค ภายใต้ระบบการปกครองและเศรษฐกิจดังกล่าว สิ่งที่ผู้ปกครองและนักธุรกิจต้องทำเหมือนกันคือ ถามว่าประชาชนหรือผู้บริโภคต้องการอะไร และตอบสนองความต้องการนั้น

ความเชื่อในข้อมูล (Dataism) ในปัจจุบันความก้าวหน้าในด้าน Information technology และ Biotechnology ทำให้รัฐบาลและนักธุรกิจพยากรณ์พฤติกรรมและการตัดสินใจของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำโดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ความแม่นยำในการพยากรณ์นี้จะทำให้เกิดระบบการปกครองและเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยไม่ต้องถามความต้องการของมนุษย์อีกต่อไป ภายใต้ระบบดังกล่าวคุณค่าของสิ่งต่างๆในสังคมจะถูกตัดสินโดยข้อมูล

ระบอบเผด็จการที่มีประสิทธิภาพกว่าตลาดเสรี ในอดีตระบบตลาดเสรีประสบความสำเร็จมากกว่าระบบเผด็จการ เนื่องจากตลาดมีกลไกราคาซึ่งทำหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลความต้องการของผู้บริโภคไปยังผู้ผลิตทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันรัฐบาลเผด็จการเช่น รัฐบาลจีน สามารถใช้ Information technology เพื่อจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของประชาชนโดยเบ็ดเสร็จ โดยไม่จำเป็นต้องใช้กลไกราคาอีกต่อไป

ในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศจีนในปัจจุบัน จะมีกล้องวงจรปิดอยู่ทั่วไป ทั้งตามถนน และในที่สาธารณะต่างๆ เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมและชีวิตประจำวันของประชาชนจีนรายบุคคล โดยรัฐบาลจีนสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการบริหารจัดการประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าหลายประเทศ ในโลกเสรีอื่นๆ

นอกจากความได้เปรียบจากการใช้ข้อมูลในการบริหารประเทศแล้ว การรวมศูนย์ข้อมูลของรัฐบาลเผด็จการยังทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scales) ของระบบเศรษฐกิจดิจิตอลที่มีข้อมูลเป็นปัจจัยหลักในการผลิตอีกด้วย ดังนั้นรูปแบบการปกครองที่เหมาะกับอนาคต อาจจะไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่ต้อง ถามความต้องการของประชาชนอีกต่อไป แต่เป็นระบอบเผด็จการที่รู้จักใช้เทคโนโลยีและข้อมูลอย่างชาญฉลาด

ตลาดที่ไม่ต้องถามความต้อง การของลูกค้า นอกจากเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลขนาดใหญ่จะก่อให้เกิดรัฐบาลเผด็จการที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องถามความเห็นของประชาชนแล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้ยังทำให้เกิดธุรกิจที่ไม่ต้องถามความต้องการของลูกค้าก่อนอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาห้างสรรพสินค้าหลายแห่งต้องการดึงผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์มาเป็นลูกค้าประจำให้เร็วที่สุด เนื่องจากผู้หญิงเหล่านี้จะทำการซื้อสินค้าสำหรับแม่และเด็กอีกหลายปี

ในปี ค.ศ. 2012 นักวิทยาศาสตร์เก็บข้อมูลของห้างสรรพสินค้าทาร์เก็ตในสหรัฐอเมริกา พบว่าในช่วงเวลา 3-6 เดือนก่อนที่ลูกค้าหญิงของห้างสรรพสินค้าจะซื้อผ้าอ้อมเด็ก ผู้หญิงเหล่านี้จะซื้อโลชั่นแบบไร้กลิ่นและวิตามินรวมเป็นจำนวนมาก ข้อค้นพบนี้ทำให้ทาร์เก็ตประสบความสำเร็จอย่างมากในการใช้ข้อมูลการซื้อโลชั่นเพื่อคาดการณ์การตั้งครรภ์ของลูกค้าหญิง และดึงลูกค้ากลุ่มนี้มาเป็นลูกค้าประจำได้ตั้งแต่ก่อนคลอดนานถึง 3-6 เดือน

เป้าหมายต่อไปของห้างสรรพสินค้าในอเมริกาคือ ระบบการคาดการณ์และส่งสินค้าตามที่ผู้บริโภคต้องการแบบอัตโนมัติ โดยระบบนี้จะคาดการณ์ความต้องการสินค้า และจัดส่งสินค้านั้นให้กับผู้บริโภคโดยที่ผู้บริโภคไม่ต้องทำการสั่งสินค้าด้วยตัวเอง และผู้บริโภคอาจจะไม่ทันคิดด้วยซํ้าว่าตัวเองต้องการสินค้าชิ้นนั้น ตัวอย่างเช่น ระบบจะทำการส่งนมผงมาให้กับคุณแม่ลูกอ่อนโดยอัตโนมัติก่อนที่นมผงจะหมดในวันรุ่งขึ้น

มนุษย์พันธุ์ใหม่ นอกจากเทคโนโลยีจะเปลี่ยนศูนย์กลางของการปกครองและเศรษฐกิจจากมนุษย์ไปอยู่ที่ข้อมูล เทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ต่างจากมนุษย์ในปัจจุบัน ข้อมูลขนาดใหญ่ทางพันธุกรรมและเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมจะทำให้เกิดมนุษย์สปีชีส์ใหม่ ในอนาคตโลกจะมีมนุษย์สปีชีส์ใหม่ที่ไม่ต้องป่วยหรือตายและเป็นอัจฉริยะโดยกำเนิด Yuval Noah Harari นักคิดคนสำคัญของศตวรรษนี้ได้ตั้งชื่อมนุษย์สปีชีส์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ว่า Homo Deus (มนุษย์เทพเจ้า) การสร้างมนุษย์แบบใหม่นี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยในเดือนพฤศจิกายน 2018 มีข่าวว่านักวิทยาศาสตร์จีนได้ทำการตัดต่อพันธุกรรมและสร้างทารกที่มีภูมิต้านทานต่อ HIV ได้สำเร็จ

ในอดีตในช่วงประมาณ 1 แสนปีที่แล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ประกอบด้วยหลายสปีชีส์โดยมีสปีชีส์ใหญ่ๆ ได้แก่ มนุษย์ Sapiens (Homo Sapiens) และ มนุษย์ Neanderthals แต่มนุษย์ Neanderthals ได้สาบสูญไปจากโลกไปพร้อมกับการครองโลกของมนุษย์ Sapiens ไม่แน่ว่าในอีกไม่นานจะถึงเวลาที่ มนุษย์ Sapiens อย่างผู้อ่านและผู้เขียนจะต้องหายไปจากโลก และถูกแทนที่ด้วยมนุษย์พันธุ์ใหม่ก็เป็นได้

ความสำคัญของข้อมูล จะเห็นได้ว่าอนาคตของมนุษย์ถูกกำหนดโดยข้อมูล โดยผู้เป็นเจ้าของข้อมูลจะมีอำนาจในการกำหนดรูปแบบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ หรือกำหนดรูปแบบชีวิตแบบใหม่ สิ่งที่สังคมมนุษย์ในปัจจุบันต้องช่วยกันคิดคือ เราจะกำกับดูแลการใช้ข้อมูลนี้อย่างไรเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ

โดย รศ.ดร.ธนะพงษ์ โพธิปิติ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3434 ระหว่างวันที่ 10 - 12 มกราคม 2562

595959859