“เพดานหนี้สาธารณะ” กลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาดการเงินทั่วโลกอีกครั้ง หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่า อาจปิดการทำงานของหน่วยงานราชการสหรัฐฯ หากรัฐสภาไม่อนุมัติงบประมาณสำหรับสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐฯกับเม็กซิโก ซึ่งถือว่าคำขู่ดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลในหมู่นักลงทุนเกี่ยวกับกระบวนการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ รวมทั้งการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล และกลายประเด็นสำคัญที่กดดันสกุลเงินดอลลาร์และหนุนราคาทองคำในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
หากจะย้อนกลับไปจะพบว่าสหรัฐฯ มีปัญหาเรื่องงบประมาณมาตลอด เนื่องจากงบประมาณประจำปีมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ดังนั้นจึงต้องมีการกู้ยืมหนี้ใหม่มาเพื่อใช้จ่ายในกิจกรรมต่างๆ และเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เรียกได้ว่าหนี้สินที่รัฐบาลกลางกู้ยืมมาก็คือหนี้สาธารณะนั่นเอง และเพื่อรักษาวินัยทางการคลังของรัฐบาลไม่ให้เกิดการก่อหนี้สะสมอยู่ในระดับที่สูงเกินไปจึงต้องมีการกำหนดเพดานหนี้และเพดานหนี้สูงสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ในปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 19.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปัญหาสำคัญคือในปัจจุบันระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อยู่ในระดับเต็มเพดาน
จึงถือเป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องมีการออกกฎหมายขยายเพดานก่อหนี้ให้ทันก่อนปีงบประมาณปัจจุบันของรัฐบาลสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน2017 ประกอบกับในวันที่ 2 ตุลาคมเป็นวันที่รัฐบาลสหรัฐฯจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเกษียณอายุราชการทหาร ดังนั้นหากผู้กำหนดนโยบายไม่ต้องการให้รัฐบาลผิดนัดชำระหนี้หรืออนุมัติเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆล่าช้านั้น รัฐสภาสหรัฐฯ จึงจำเป็นจะต้องออกกฎหมายขยายเพดานการก่อหนี้ให้ทันตามกำหนด โดยสภาคองเกรสของสหรัฐฯอยู่ในระหว่างพักสมัยประชุมและจะเปิดสมัยประชุมอีกครั้งในวันที่ 5 กันยายน
สิ่งที่น่ากังวล คือ หากสหรัฐฯประสบความล้มเหลวในการปรับขึ้นเพดานหนี้ อาจส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯประสบภาวะขาดแคลนเงินสดในช่วงต้นเดือนตุลาคมและอาจทำให้หน่วยงานภาครัฐในส่วนงานที่ไม่ได้มีความสำคัญเร่งด่วน (Nonessential Operations) ต้องปิดทำการลงชั่วคราวดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2013 อีกทั้งต้องเผชิญความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจจะไม่สามารถชำระหนี้ในส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยได้ตามกำหนดซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวก็จะสั่นคลอนตลาดการเงินทั่วโลก ล่าสุดฟิทช์ เรทติ้งส์ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศระบุในวันพุธที่ผ่านมาว่า ถ้าหากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯประสบความล้มเหลวในการปรับขึ้นเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯภายในเวลาที่เหมาะสมเหตุการณ์ดังกล่าวก็จะส่งผลให้ฟิทช์ทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ “โดยอาจจะมีผลในทางลบ”
โดยขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า สภาคองเกรสจะสามารถรวบรวมเสียงโหวตได้มากพอสำหรับการปรับขึ้นเพดานหนี้หรือไม่ถึงแม้พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม บวกรวมกับความเสี่ยงตามคำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่หากสภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณสำหรับการบริหารงานของรัฐบาล แต่มีการตัดงบในส่วนของการสร้างกำแพงกั้นเม็กซิโก อาจส่งผลให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจทำการวีโต้ หรือเลือกที่จะไม่ลงนามในงบประมาณดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลต้องปิดการดำเนินงานเนื่องจากขาดงบประมาณได้
ดังนั้นถือเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนทองคำจะต้องติดตามต่อไป ถ้าหากยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงเรื่องงบประมาณและการปรับขึ้นเพดานหนี้ของสหรัฐฯได้ทันตามกำหนด สกุลเงินดอลลาร์ก็อาจจะร่วงลงขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเช่นเยนและฟรังก์สวิสรวมถึงทองคำอาจได้รับอานิสงส์ในเชิงบวก อย่างไรก็ดีหากสภาคองเกรสสามารถอนุมัติงบประมาณรายจ่ายและปรับขึ้นเพดานหนี้สำหรับรัฐบาลกลางสหรัฐฯได้เร็วกว่าที่ตลาดเคยวิตก อาจเป็นปัจจัยหนุนสกุลเงินดอลลาร์และกดดันราคาทองคำได้เช่นกัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,292
วันที่ 31 สิงหาคม - 2 กันยายน พ.ศ. 2560