Techsauce ไม่ไปถือว่าพลาด แต่เดี๋ยวเล่าให้ฟัง

03 ส.ค. 2560 | 23:05 น.
MP29-3284-C วันศุกร์ และวันเสาร์ที่ผ่านมา (28-29 กรกฎาคม 2560) มีงานสำคัญที่ชาว Startup ต้องไม่พลาดนั่นคือ Techsauce Global Summit 2017 เชื่อว่าชาว Startup คงคุ้นเคยเป็นอย่างดี คำว่า Techsauce มาจากคำ 2 คำคือ Tech หมายถึงเทคโนโลยี และ Sauce ที่เป็นเครื่องปรุงรสอาหาร เป็นการเล่นกับคำว่า Source หรือแหล่งกำเนิด ทำให้ Techsauce เป็นแหล่งข้อมูลด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจเสมอที่สามารถปรุงรสให้ครบเครื่องได้ตามต้องการ

การจัดงานสัมมนาแนวนี้เป็นรูปแบบใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ทุกอย่างจี๊ดจ๊าด ลงทะเบียนด้วย QR Code แบบเร็วสุดๆ แม้ว่าแถวจะยาวแบบมหาศาล พอเข้าไปใน Hall ก็จะพบกับ Exhibition อลังการของ Startup ทั่วฟ้าเมืองไทย เพราะขนกันมาทุกค่ายกว่า 150 บูธ แต่คำว่าบูธของ Startup ไม่ใช่บูธแสดงสินค้าเหมือนทั่วๆ ไปที่ทุกท่านเห็นนะครับ ทุกบูธจะมีขนาดประมาณ 1 เมตร (บูธปกติออกงานแสดงสินค้าคือ 3 เมตร) มีแค่คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง และโต๊ะเล็กๆ แต่สิ่งสำคัญในแต่ละบูธคือ “ไอเดีย” ที่พร้อมจะนำเสนอ และหาผู้ร่วมลงทุน CEO หรือ Founder แต่ละคนต้องสามารถนำเสนอได้ดีเยี่ยม เข้าใจง่าย และน่าดึงดูดใจ

พอเข้าสู่ Main Stage ก็จะพบกับความอลังการอย่างกับเวทีคอนเสิร์ต โดยปกติจะพบได้กับงานสัมมนาระดับโลกใหญ่ๆ เท่านั้น เรียกว่าจัดได้สุดยอดครับ นอกจากนี้ยังมีเวทีย่อยในงานอีก 5 เวที ได้แก่ Accelerate, Forwarding FinTech, Scaling Platform, Tech Showcase และ Venture Capital ซึ่งมีการจัดสัมมนาตลอดทั้งวัน
คนที่ผมตั้งใจไปฟังมาก และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ คือ Brett King ที่ถือว่าเป็น FinTech Influencer คนสำคัญ ที่เขียนหนังสือ Bank 3.0, Breaking Banks และ Augmented Life in the smart lane แล้วโด่งดังไปทั่วโลกจนคนในแวดวงการเงินการธนาคารต้องติดตาม หัวข้อ Transforming The Next-Gen Customer Experiences in the Digital World มีผู้ฟังแน่นขนัด Main Stage ครับ (Digital Ventures เชิญมา แถมให้ถ่ายรูปแจกลายเซ็นอีก คูลมากครับ)

MP29-3284-cC Brett King พูดถึง Embedded Experiences ที่จะเข้ามามีบทบาทกับมวลมนุษยชาติในอนาคตได้แก่ Artificial Intelligence (AI), Mixed Reality (MR), IoT (กระแส AI มาแรงสุดๆ แม้แต่ Mark Zuckerberg กับ Elon Musk ยังออกมาปะทะคารมกันเรื่องนี้) เขากล่าวว่าในอนาคต AI จะฉลาดกว่ามนุษย์ (นี่เป็นสิ่งที่ Zuckerberg กลัวด้วยครับ) เพราะทุกวันนี้เราเริ่มคุยกับ Alexa โต้ตอบกับ Siri ทำให้มนุษย์ต้องปรับตัว เพราะจะมีมนุษย์ตกงานอีกมากมาย

เทคโนโลยีที่เขากล่าวถึงอีกคือ HealthTech & Gene Editing ที่เราสามารถน่าจะเลือกพันธุกรรมได้ในอนาคต เทคโนโลยี 3D Printing ที่ทำให้เราพิมพ์อวัยวะของเราออกมาได้เอง สิ่งที่เขาดูจะสนใจมากเป็นพิเศษคือ Smart Infrastructure ที่เมืองรวมทั้งบริษัทต่างๆ มีระบบเทคโนโลยีเข้ามาเต็มรูปแบบ ตั้งแต่แผงพลังงานแสงอาทิตย์ โรงงานที่ใช้หุ่นยนต์ และAIแทนแรงงานคน รถบรรทุกอัจฉริยะ (คนขับรถบรรทุกในอเมริกามี 2 ล้านคนอาจจะตกงาน) เขายังพูดถึง Human 2.0 ที่เริ่มนำเอาหุ่นยนต์มาแทนอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเพื่อให้แข่งขันกับหุ่นยนต์ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่มีเฉพาะในภาพยนตร์อีกต่อไป แต่มีเพื่อนของเขาทำขาเทียมที่สามารถใช้เดิน และปีนเขาได้ดีกว่าเดิม ระบบในอนาคตจะมีการนำการวินิจฉัยด้านต่างๆ มาใช้มากขึ้น และมนุษย์จะถูกท้าทายโดย AI ว่าใครจะแม่นยำกว่ากันทั้งการแพทย์ รวมไปถึงการออกเดต (เขายกตัวอย่างว่าต่อไปเวลาออกเดตระบบจะวิเคราะห์ได้ว่าจะจีบติดไหม ยากขนาดไหน เข้ามีใจให้เราไหม อู้ฮู) เขาฟันธงว่าในปี 2025 ทุกบริษัทชั้นนำจะเป็นบริษัทที่ใช้ Technology based ทั้งหมด แม้กระทั่ง London Taxi ที่เขาเชื่อว่าจะใช้ AI ขับแทนคนขับในปี 2028 เพราะปลอดภัยกว่า แถมยังแอบให้กำลังใจประเทศไทยที่ช่องว่างทางเทคโนโลยียังสูงมากว่าให้พยายามสู้ๆ

และแน่นอนว่าด้านการเงินการธนาคารที่เขาถนัด เขาบอกว่าธุรกิจบริการจะถูกทดแทนด้วย AI และ Machine Learning ทั้งหมด ส่ิงสำคัญคือไม่ใช่การแย่งงานกันทำของมนุษย์อีกต่อไป แต่ถึงเวลาที่มนุษย์จะต้องแข่งขันกับหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีอย่างแท้จริง การปรับตัวเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์อยู่รอด

นับว่าเป็นการสัมมนาที่คุ้มค่าจริงๆ ครับ ผมไปร่วมงานทั้ง 2 วันที่ Central World ตามที่เวลาจะอำนวย เดินทางทั้งวันด้วยรถไฟฟ้ามาสัมมนานะเธอ ในงานมีรถยนต์ไฟฟ้า Tesla มาโชว์ และตอนออกจากงานสัมมนามาเจอบริษัทรถยนต์ Mercedes - Benz ที่นำรถที่เป็น EV (Electric Vehicle) มาโชว์ครบทุกรุ่น คิดๆ ดูแล้วก็พบว่า โลกมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ต้องตามให้ทันครับ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,284 วันที่ 3 -5 สิงหาคม พ.ศ. 2560