เศรษฐกิจไทย ในมุมมอง ซีอีโอ TOA พร้อมกลยุทธ์รับการเปลี่ยนแปลง

06 ม.ค. 2566 | 07:51 น.

“จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ” ซีอีโอ TOA เปิดมุมมองเศรษฐกิจไทย 2566 หวั่นดอกเบี้ยขาขึ้นอุปสรรคใหญ่ ธุรกิจอสังหาฯ หวังนโยบายรัฐช่วยสนับสนุน

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นหนึ่งในธุรกิจฟันเฟืองสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยทั้งโควิด-19 และเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ในปี 2565 ตลาดอสังหาฯ ก็ยังขยายตัวดี โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC ประเมินว่าในปี 2565 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ โตกว่าปีก่อนถึง 87%

 

ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2566 ก็ยังต้องลุ้นว่าจะขยายตัวได้มากแค่ไหน เพราะธุรกิจอสังหาฯ ยังต้องเจอปัจจัยเสี่ยงอีกสารพัด ทั้ง มาตรการ LTV หรือ หลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว

 

ที่ผ่านมา ฐานเศรษฐกิจ ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงหลากหลายธุรกิจ เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก และทิศทางในการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ภายใต้หัวข้อ CEO Outlook 2023 โดยสอบถามความคิดเห็น “จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมนำเสนอความคิดเห็นในมุมของผู้ที่อยู่ในธุรกิจอสังหาฯ 

 


เริ่มต้นด้วยปัจจัยบวก และลบที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก และการดำเนินธุรกิจในปี 2566 รวมถึงการแข่งขันทางธุรกิจเศรษฐกิจไทย มุมมองของ “จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ” มีดังนี้

 

ภาพประกอบข่าว  CEO Outlook 2023 TOA

ปัจจัยบวก

 

อย่างแรกคือ กรณีประเทศจีน ซึ่งมีการผ่อนปรนนโยบาย Zero Covid และการกลับมาเปิดประเทศมากขึ้น ส่งผลในการค้า ระบบ Supply Chain ของโลกกลับมาดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจะได้รับอานิสงค์อย่างมากต่อการเปิดประเทศของจีนตามมาหลายเรื่อง ทั้ง

 

ด้านการท่องเที่ยว ที่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวหลักจากประเทศจีนหายไปมากกว่า 80% การกลับมาของนักท่องเที่ยวจะเป็นเงินมหาศาลที่เข้ามาสนับสนุนขับเคลื่อนกิจกรรมในประเทศ


เช่นเดียวกับด้านการค้า การเปิดประเทศของจีน จะเป็นการเปิดโอกาสให้ ธุรกิจการค้ารายย่อย ที่พึ่งพาการนำเข้าสินค้า วัตถุดิบการผลิต รวมถึงการส่งออกไปยังจีน จะปรับตัวดีขึ้น เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมในประเทศ 

 

อีกปัจจุบันที่คอยหนุนคือ กิจกรรมภายในประเทศ เพราะประชาชนมีการปรับตัวต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่ดีมากขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมต่าง ๆ เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะเกือบปกติ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2565 เป็นต้นมา คาดการณ์ว่าปี 2566 จะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน

 

อีกเรื่องที่น่าจับตา คือ การส่งออก โดยมูลค่าการส่งออกในช่วงมกราคม-ตุลาคม 2565 ส่งออกมูลค่า 8,325,090.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่ 19.67% แต่การส่งออกในเดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่า 801,273 ล้านบาท หดตัว 4.4% สาเหตุจากอุปสงค์องประเทศคู่ค้าชะลอลงจากการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของผู้บริโภค 

 

แต่ในปี 2566 ยังมีปัจจัยสนับสนุนค่าระวางเรือขนส่งสินค้าเข้าสู่สมดุล ปัญหาขาดแคลนคอนเทนเนอร์เริ่มคลี่คลายอุปทานชิปประมวลผลที่มีมากขึ้นเพียงพอต่อการผลิต และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยด้านการส่งออกได้ โดยเฉพาะสินค้าอาหารและภาคการเกษตร

 

ภาพประกอบข่าว  CEO Outlook 2023 TOA

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มคงที่ในแนวลบ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 5.55 (YoY) สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 (จากเดือนกันยายนและตุลาคม) ซึ่งอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับดีกว่าหลายประเทศ ทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป อินเดีย รวมถึงประเทศในอาเซียน 

 

นอกจากนี้ธุรกิจการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับมามีจำนวนเกิน 10 ล้านคน เมื่อธันวาคม 2565 และมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชน เช่น ธุรกิจโรงแรมและที่พัก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจขนส่ง ส่งผลให้เงินการลงทุนและการบริโภคในประเทศขยายตัวได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนด้านการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ และอื่น ๆ

 

ปัจจัยลบ

 

สิ่งแรกที่ต้องเจอคือ ราคาพลังงานที่ผันผวนจากภาวะสงครามรัสเซีย - ยูเครน ทำให้ต้นทุนด้าน logistics จากต้นทางยุโรปยังสูง เช่นเดียวกับปัจจัยกดดันจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้วที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้า และปัจจัยการตอบโต้จากรัสเซียต่อมาตราการ Price Cap ของชาติตะวันตก และมาตราการ Gas price cap ที่ยังอยู่ระหว่างการหารือของสหภาพยุโรป 

 

โดยในเดือนธันวาคม 2565 ราคาน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) อยู่ที่ 76.53 ดอลลาร์/บาร์เรล จากราคาพลังงานที่สูงขึ้นทำให้ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างในปี 2566 มีแนวโน้มสูงขึ้นจากปี 2565 


ขณะที่เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลต่อกำลังซื้อในภาพรวมที่จะไม่ขยายตัวมากนักรวมถึงสภาพเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอยภาคครัวเรือนที่ยังทรงตัว

 

สถานการณ์หนี้สาธารณะ ทำให้อัตราการใช้จ่ายต่ำ โดยมองว่า หนี้สาธารณะของไทยในปีงบประมาณ 2565 ขยายตัว 11.1% จากปี 2564 ซึ่งสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ปีงบประมาณ2565 อยู่ที่ 60% จะทำให้รัฐบาลต้องเร่งเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อชำระหนี้สาธารณะในอนาคต 

 

ส่วนค่าเงินบาทยังคงผันผวน เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนเดือนธันวาคมที่ประมาณ 34.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังบรรดาธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักยังคงส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องตลอดปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 

 

อีกมุมหนึ่ง คือ การท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การท่องเที่ยวภายในประเทศได้รับผลกระทบบ้างอัตราดอกเบี้ยฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่ม SME

 

ภาพประกอบข่าว  CEO Outlook 2023 TOA

 

การแข่งขันทางธุรกิจ

 

“จตุภัทร์” ยอมรับว่า ธุรกิจสีทาอาคาร เป็นธุรกิจที่สัมพันธ์กับภาคการก่อสร้างในประเทศ ขณะที่ตลาดสีทาอาคาร ต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบ ที่มีความเกี่ยวพันธ์กับราคาน้ำมันและในตลาดการค้าของโลก ในขณะที่กำลังซื้อมีจำกัด จะส่งผลให้สินค้ากลุ่มที่ราคาไม่สูงมากนักจะเป็นทางเลือกที่สำคัญให้กับผู้บริโภค

 

โดยบริษัทสี ที่เป็นบริษัทต่างชาติ จะสามารถแข่งขันได้ลดลงเมื่อเทียบกับ บริษัทสี ผู้เล่นในประเทศ เนื่องด้วยผลกระทบด้านต้นทุนการผลิต และความสามารถในการลงทุน การกำหนดราคาและผลกำไร เพื่อแข่งขันในตลาด 

 

แต่มองว่ายังมีปัจจัยบวก คือ การที่ Developer ขยายการลงทุน โครงการก่อสร้างมากขึ้น โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่กำลังซื้อในตลาดระดับบนและระดับล่างยังคงมีความต้องการสูงในตลาด แต่ก็ต้องติดตามปัจจัยลบควบคู่กัน ทั้ง อัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อการกู้ยืมเงินเพื่อการซื้อบ้าน ราคาวัสดุก่อสร้าง ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาบ้านต้องขยับเพิ่มสูงขึ้น และ คอนโดมิเนียม ที่ยังมีอัตราการก่อสร้างลดลง เนื่องจากระดับสต็อกที่ยังคงมี และกำลังซื้อกลุ่มคอนโดที่ลดลง

 

ภาพประกอบข่าว  CEO Outlook 2023 บ้านและที่ดิน

 

แนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในปี 2566

 

ในด้าน กลยุทธ์ TOA ได้กำหนด Strategic Framework ซึ่งเป็นกรอบกลยุทธ์ระยะยาว ที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปข้างในปี 2566 ผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยความเสี่ยงรอบด้าน โดยให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง โดยมีการวางแผนการจัดการภายในทุกมิติ คือ

  1. การลดต้นทุนการผลิต เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดที่กำลังซื้อไม่ได้สูงมากและผู้บริโภคมองหา ทางเลือกที่คุ้มค่ามากขึ้น
  2. การนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ด้านความคุ้มค่ามากขึ้นให้กับผู้บริโภค ทั้งประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ขั้นตอนการทำงานที่ลดลง ต้นทุนการใช้งานที่ลดลง
  3. การพัฒนาศักยภาพของกำลังพล – พัฒนาเสริมสร้างพนักงานให้มีคุณภาพ เพื่อสามารถแข่งขัยในตลาดได้มากขึ้น

 

พร้อมกันนี้ TOA ได้กำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืน ในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมสีและวัสดุก่อสร้างในภูมิภาคอาเซียน ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอย่างครบวงจร ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในธุรกิจ มีส่วนร่วมทำให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีและสังคมน่าอยู่ โดยมีการวางแผนด้านกลยุทธ์ดังนี้

 

  1. การสร้างพันธมิตรทางการค้าที่เข้มแข็ง ทั้งคู่ค้าทางธุรกิจที่สำคัญอย่างร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ผู้ออกแบบ Developer รวมถึงการหาพันธมิตรใหม่ๆ ที่เข้ามาร่วมกันสร้าง Synergy
  2. การขยายธุรกิจเข้าไปในกลุ่มสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิม โดยอาศัยความได้เปรียบด้านความพร้อมและช่องทางการจัดจำหน่ายที่มี
  3. การขยายธุรกิจในอุตสาหกรรมใหม่ ที่เป็นไปตามกระแสของโลกในอนาคต 
  4. การกระตุ้น Demand ทำอย่างไรที่จะเพิ่มแรงจูงใจกระตุ้นให้ผู้บริโภค ลุกขึ้นมาปรับปรุงซ่อมแซมทาสีบ้านมากขึ้น รูปแบบของแคมเปญทางการตลาดที่ต้องตอบโจทย์ข้อนี้มากยิ่งขึ้น
  5. กำหนดเป้าหมาย Net Zero Emission 2050 เพื่อทำให้องค์กรลดมีความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม ลดภาระและตอบแทนคืนสู่สังคมรอบข้าง และสิ่งแวดล้อม โดยจัดทำโครงการปลูกป่าทั้งรูปแบบป่าบก และป่าชายเลน คาดว่าจะมีโครงการออกมาไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ ซึ่งจะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ในปริมาณมาก รวมทั้งการเก็บ Carbon credit เพื่อนำมาใช้ในการ offset การปล่อยคาร์บอนในองค์กร รวมทั้งเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนในอนาคต

 

ภาพประกอบข่าว  CEO Outlook 2023 อสังหาริมทรัพย์

 

มุมมองต่อนโยบายภาครัฐ

 

ซีอีโอ TOA มองว่า จากนโยบาย LTR (long-term resident) Visa ช่วยกระตุ้นการเข้ามาของประชากรที่มีคุณภาพจากต่างประเทศหลังจากนโยบายเปิดประเทศ เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้อัตราการซื้อขายอสังหาฯน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น 

 

ขณะที่นโยบาย BCG (bio-circular green economy) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ธุรกิจหลัก และธุรกิจใหม่ (new s-curve) ทั้งในเรื่องการควบคุมดูแลเรื่อง climate change/ net zero/ carbon footprint ที่จะมีมาตรการด้านภาษี เพื่อกระตุ้นให้หน่วยธุรกิจมีความตื่นตัวด้านนี้ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ 

 

ส่วนการกระตุ้นตลาดรถ EV ทำให้มีการกระตุ้นให้เกิดการสร้างโรงงานผลิตและประกอบรถ EV ในไทย การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปีหน้า

 

แต่อีกเรื่องใหญ่ คือ การเลือกตั้งในปี 2566 จะเป็นกลไกลด้านหนึ่งที่ช่วยให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีการหมุนเวียนด้านการเงินในระดับรากหญ้ามากขึ้น

 

อย่างไรก็ตามมาตรการที่ต้องการให้รัฐบาล ส่งเสริม และสนับสนุน ทั้งมาตราที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายสู่ธุรกิจปลอดคาร์บอน ช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม

 

เช่นเดียวกับส่งเสริมมาตรการทางภาษี เพื่อเอื้อให้เกิด Demand การปรับปรุงพัฒนาที่พักอาศัยมากยิ่งขึ้นของผู้บริโภค เช่น การนำค่าใช้จ่ายในการซื้อวัสดุก่อสร้างเพื่อการปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน มาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมไปถึงการควบคุมราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและขนส่ง