KEY
POINTS
ต่อกรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดในการเดินหน้าปรับโครงสร้างการคลัง เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินการคลังในระยะปานกลาง โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ และการขยับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งเป้าลดระดับการขาดดุลให้ไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 ตามกรอบการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ปี 2570 – 2573 นั้น
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทล ประเทศไทย กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า การปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก7% เป็น 8.5% ในปี 2571 และเป็น 10% ในปี 2573 ซึ่งผมไม่คัดค้าน เพียงแต่ให้ทบทวนการปรับขึ้นในแต่ละภาคธุรกิจ
“ผมไม่คัดค้าน เพียงแต่ให้ทบทวนการปรับขึ้นในแต่ละภาคธุรกิจ ซึ่งอาจมีผลกระทบกับค่าครองชีพของประชาชนภายในประเทศเป็นวงกว้างและจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงได้ เช่นภาคธุรกิจร้านอาหารและสินค้าบริโภคจำพวกอาหารเป็นต้น”
ในหลายๆประเทศเช่นในยุโรปหรือประเทศญี่ปุ่นก็ตาม รัฐบาลจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราที่แตกต่างกันไป เช่น ประเทศในยุโรปภาษีมูลค่าเพิ่มเฉลี่ยอยู่ที่ 20% แต่สำหรับร้านอาหารและอาหารจะอยู่ที่ 9-13% เพื่อไม่ให้กระทบการบริโภคของประชาชนและผู้ประกอบการ
โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งร้านอาหาร SMEs ที่อยู่ในระบบ จะไม่ค่อยมีภาษีมูลค่าเพิ่มขาซื้อ เพราะวัตถุดิบสินค้าการเกษตรและของสด จะไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้นร้านอาหารจะไม่มี VAT นำไปหักลบกับ VAT ขายได้เลย จึงทำให้ทุกวันนี้สภาวะการแบกต้นทุน ภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจร้านอาหารสูงมากอยู่แล้ว ซึ่งยังไม่รวมภาษีต่างๆอื่นๆในแต่ละปีอีก รวมถึงภาคการท่องเที่ยวเช่นโรงแรมที่พักในหลายๆประเทศก็จะแยกอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยเช่นกันเพราะเป็นการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของประเทศ
ทั้งนี้ขอเสนอว่า หากจะปรับภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 8.5-10% ในอนาคตควรจะยืนอัตราเดิม 7% ไว้กับภาคธุรกิจร้านอาหารและสินค้าอาหารรวมถึงธุรกิจภาคการท่องเที่ยว โรงแรมที่พักด้วยไม่เช่นนั้น ภาระภาษีที่ปรับขึ้นจะไปกระทบกับผู้บริโภคภายในประเทศและนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการที่พัก โรงแรม ร้านอาหารเป็นอย่างมาก สุดท้ายจะเกิดสภาวะเศรษฐกิจตรึงเครียดตามมาและจะกระทบเป็นวงกว้างได้