ร้านอาหารไซส์ S ถูกทิ้งกลางทาง สมาคมภัตตาคารไทยขอสิทธิ์รัฐร่วมคนละครึ่งพลัสรอบใหม่ ม.ค.นี้

20 ต.ค. 2568 | 06:52 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ต.ค. 2568 | 08:00 น.

สมาคมภัตตาคารไทยชี้ร้านอาหารขนาดเล็ก–กลางเผชิญภาวะซบเซา ปลายปีหวังรัฐอัดฉีดมาตรการช่วยเหลือ พร้อมดัน 6 มาตรการดันคนละครึ่งเฟสพลัสรอบหน้า เปิดทางร้านอาหาร “ไซส์ S” เข้าร่วมโครงการเดือนมกราคม 2569

KEY

POINTS

  • สมาคมภัตตาคารไทยระบุว่าร้านอาหารขนาดเล็ก (ไซส์ S) ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ไม่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสในรอบล่าสุด
  • ทางสมาคมฯ กำลังผลักดันให้ภาครัฐพิจารณาให้ร้านอาหารกลุ่มนี้สามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งในรอบใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มในเดือนมกราคม
  • ได้มีการยื่นข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการหลายด้านแก่รัฐบาล เช่น ซอฟต์โลนดอกเบี้ยต่ำ การลดต้นทุน และการเสนอให้ขยายเพดานรายได้ที่ต้องเข้าระบบ VAT

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงปลายปีดูเหมือนจะดิ่งลง ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารหลายรายต่างเฝ้ารอมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการคนละครึ่งพลัส

อย่างไรก็ตาม สำหรับร้านอาหารขนาดกลางและขนาดเล็กที่จ่ายภาษีอย่างถูกต้อง (นิติบุคคล หรือ หจก. ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่มีรายได้สูงกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี) การเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสในรอบล่าสุดนี้อาจจะไม่ทันแล้ว เนื่องจากรัฐบาลในรอบนี้มุ่งเน้นช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือที่กระทรวงการคลังเรียกว่า "ไมโคร SME"

ร้านอาหารขนาดไมโคร ที่เข้าเกณฑ์ในรอบปัจจุบันนี้มีจำนวนประมาณ 500,000 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่กระทรวงการคลังหวังจะผลักดันให้ธุรกิจเติบโตและสามารถเข้าสู่ระบบภาษีได้ในอนาคต ขณะที่ร้านอาหารขนาด S–M–L มีราว 200,000 ราย

 

ความหวังที่ "คนละครึ่ง" เฟสหน้า

สำหรับร้านอาหารขนาดกลางที่ทางสมาคมภัตตาคารไทยเรียกว่า "ไซส์ S" (SME ขนาดเล็ก) ซึ่งมีรายได้ต่อวันประมาณ 3,000-10,000 บาท หรืออาจถึง 10,000 บาทขึ้นไป และเป็นกลุ่มที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและรอความช่วยเหลือเช่นกัน ได้พลาดโอกาสในรอบนี้ไป ผู้ประกอบการกลุ่มนี้จึงต้องตั้งความหวังกับการเข้าร่วมโครงการในเฟสถัดไปในเดือนมกราคม ปี 2569

ในฐานะนายกสมาคมภัตตาคารไทย ได้พยายามผลักดันให้ร้านอาหารขนาด "ไซส์ S" ได้รับโอกาสเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟสหน้าด้วย โดยได้มีการเสนอมาตรการที่เคยมีการตกผลึกไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งรวมถึงข้อเสนออื่นๆขึ้นมาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ ดังนี้ 

นางฐนิวรรณ กุลมงคล 

1.ด้านการเงิน–ภาษี (Cost Relief & Liquidity) โดยมีการสนับสนุนซอฟต์โลนดอกเบี้ยต่ำ 1-2% วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาทต่อกิจการ ค้ำโดย บสย. 70% พร้อมทั้งยกเว้น/ลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 50-100% เป็นเวลา 1 ปี สำหรับกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร สุขาภิบาล ดนตรีสด และสื่อโฆษณา นอกจากนี้ยังมีการหักค่าใช้จ่ายลงทุนในด้านการยกระดับครัว ระบบความเย็น และพลังงานสะอาด แบบ Super Deduction 2.0 ที่สามารถหักเพิ่ม 1.5-2 เท่าในภาษีเงินได้บุคคลและนิติบุคคล

2.ในด้านลดต้นทุนปฏิบัติการ (Operating Cost) มีการเสนออัตราค่าไฟ–ค่าน้ำพิเศษ สำหรับกิจการบริการขนาดเล็ก/กลาง (SME Tariff) รวมทั้งจัดตั้งตลาดกลางวัตถุดิบอาหาร (Centralized Sourcing Hubs) ร่วมกับ อ.ต.ก. และเอกชน เพื่อตัดตัวกลาง ลดราคาวัตถุดิบลง 5-10%

3.ในด้านแรงงาน–ทักษะ (Jobs & Skills) รัฐบาลสนับสนุนค่าจ้างชั่วคราว 1,500-2,000 บาทต่อหัวต่อเดือน สำหรับพนักงานเดิมที่รักษาการจ้างงานต่อเนื่อง 6-12 เดือน พร้อมจัดโปรแกรม Upskill/Reskill ในทักษะต่างๆ เช่น ภาษา มาตรฐานบริการ การตลาดดิจิทัล และบริหารต้นทุน ผ่านความร่วมมือกับอาชีวะ มหาวิทยาลัย และแพลตฟอร์มออนไลน์ นอกจากนี้ยังเปิดช่องทางการจ้างแรงงานต่างชาติแบบ Fast-Track สำหรับตำแหน่งที่ขาดแคลน พร้อมควบคุมมาตรฐานค่าจ้างและสวัสดิการ

4.ด้านการตลาด–การท่องเที่ยว (Demand Stimulus) จะมีการจัดเทศกาลอาหารในจังหวัดต่างๆ และเส้นทาง Food Tourism ที่เชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยวชุมชน พร้อมทั้งดำเนินการแคมเปญ “Clean Food, Safe & Iconic” เพื่อผลักดันมาตรฐานร้านอาหารท้องถิ่น โดยสร้างคอนเทนต์หลายภาษาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในระดับสากล

5.ในด้านดิจิทัล–นวัตกรรม (Digital Boost) รัฐบาลจะจัดทำ Mini-Grant มูลค่า 50,000–150,000 บาท เพื่อสนับสนุนธุรกิจในการพัฒนาระบบการจอง POS, Inventory, ระบบเดลิเวอรี และ Loyalty/CRM รวมทั้งเปิด Open Data สำหรับภาคท่องเที่ยวและอาหารเพื่อให้ SMEs ใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ นอกจากนี้ยังจะมีการจัดตั้งกองทุนสตาร์ทอัพ FoodTech/TravelTech เพื่อสนับสนุนโซลูชันในการลดต้นทุน ลดการสูญเสียอาหาร และพลังงานสะอาด

6.สุดท้ายในด้านกฎหมาย–มาตรฐาน–ความยั่งยืน (Ease & Green) รัฐบาลจะจัดทำ One-Stop License สำหรับใบอนุญาตธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ดนตรี ป้าย และสุรา ผ่านระบบดิจิทัล เพื่อลดระยะเวลาในการดำเนินการจากเดือนเป็นวัน อีกทั้งยังมีการสนับสนุนเงินอุดหนุน 30–40% สำหรับอุปกรณ์ประหยัดพลังงานและการลดการใช้พลาสติก รวมทั้งการจัดการขยะอาหารภายใต้โครงการ Green Restaurant/Hotel Program และการปรับปรุงผังเมืองเพื่อส่งเสริมโซนอาหารกลางคืนที่ปลอดภัย มีมาตรฐานเสียงและสุขอนามัย

ส่วนข้อเสนอเพิ่มเติมคือ ให้รัฐบาลขยายเพดานรายได้ที่ต้องเข้าระบบ VAT จากเดิม 1.8 ล้านบาทต่อปี ไปจนถึง 3 ล้านบาท เพื่อช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็ก และให้พิจารณาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% ให้เหลือ 5% โดยอาจเป็นการลดภาษีชั่วคราว เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าระบบ

สมาคมภัตตาคารไทย หวังว่าข้อเสนอต่าง ๆ ที่ยื่นให้พิจารณาจะถูกนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็ววัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร "ไซส์ S" ซึ่งเป็นผู้เสียภาษี ได้รับความช่วยเหลือในโครงการคนละครึ่งพลัสเฟสหน้าด้วย