กรณีมีกระแสข่าวว่าวงเงินการใช้จ่ายตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังเหลือเพียง 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายกึ่งการคลังของรัฐบาลชุดใหม่นั้น
ล่าสุด นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวยอมรับว่า ในช่วงที่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด รัฐบาลมีความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจ โดยดำเนินการผ่านแบงก์รัฐต่างๆ ทำให้วงเงินในการใช้จ่ายตามมาตรา 28 ลดลง
“เราจำเป็นต้องช่วยเหลือทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด เมื่อเราใช้แบงก์รัฐเข้าไปช่วย ทั้งบสย. และธ.ก.ส. เราก็ต้องตั้งงบประมาณไปชดเชยให้”
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการคลังก็ได้มีนโยบายเร่งรัดให้ทุกโครงการที่ดำเนินการ โดยใช้มาตรา 28 ได้เร่งปิดโครงการและชำระคืนเงิน เพื่อให้กรอบวงเงินในการใช้จ่ายตามมาตรา 28 มีเพียงพอที่จะใช้จ่ายในโครงการต่อไป โดยได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นหน่วยงานที่คอยติดตามความคืบหน้าการปิดบัญชีของแต่ละโครงการ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังเองก็ได้มีนโยบายในการใช้หนี้แก่แบงก์รัฐที่เข้ามาสนับสนุนการดำเนินนโยบายกึ่งการคลังดังกล่าว โดยขอให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบชำระคืนประมาณ 3.5-4% ของวงเงินในโครงการ
ทั้งนี้ ปัจจุบันกรอบวงเงินการใช้จ่ายตามมาตรา 28 อยู่ที่ 32% ซึ่งลดลงจากเดิมที่รัฐบาลชุดนี้ขอขยายเป็น 35% ในช่วงโควิด แต่นับจากนี้ มองว่าวงเงินดังกล่าวควรกลับไปอยู่ที่ 30% เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลัง