KEY
POINTS
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทล (ประเทศไทย) เปิดเผยข้อมูลกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นการยุบสภาอาจจะไม่กระทบความเชื่อมั่นในทันที แต่ความเสี่ยงที่แท้จริงคือการขาดมาตรการประคองเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2569 และการยืดเยื้อของการเลือกตั้ง
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจหลายแห่งประเมินว่า GDP ของประเทศไทยในปี 2569 จะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 1.6% ซึ่งการยุบสภาอย่างรวดเร็วไม่ได้ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง เพราะความเชื่อมั่นของประเทศอยู่ในจุดที่ดิ่งสุดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า หรือช่วง 3-4 เดือนแรกสาเหตุหลักมาจากความเป็นไปได้สูงที่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจสำคัญจะถูกยกเลิกไป เนื่องจากรัฐบาลรักษาการไม่สามารถออกโครงการใหม่ได้
โครงการที่คาดว่าจะถูกยกเลิกคือ โครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 ซึ่งโครงการนี้ถูกคาดการณ์ว่าจะสามารถช่วยกระตุ้น GDP ได้ประมาณ 0.1% ถึง 0.2% และมีสิทธิ์มอบให้กับประชาชนประมาณ 10 ล้านคน ทั้งนี้โครงการคนละครึ่ง เฟส 1 ที่เคยดำเนินการไปก่อนหน้านี้จะสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคมนี้
การขาดมาตรการกระตุ้นใหม่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อระดับรากหญ้า โครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 1 ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าช่วยกระตุ้น GDP ได้ถึง 1% และสำหรับธุรกิจร้านอาหาร ยอดขายโตขึ้นถึง 3-4 เท่า โดยเฉพาะร้านที่ใช้แอปพลิเคชันยังยืนยันว่ายอดขายโตถึง 5 เท่า ซึ่งหากไม่มีมาตรการใด ๆ ออกมาในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569 เศรษฐกิจอาจจะกลับไปสู่สภาวะซึมเศร้าเหมือนเดิม
แม้การอัดฉีดเงินจากภาครัฐจะไม่ใช่สิ่งที่พึงประสงค์ในระยะยาว เพราะอาจทำให้เลือดในคลังหมด แต่มาตรการระยะสั้นยังจำเป็นเพื่อประคองเศรษฐกิจระดับรากหญ้าให้เกิดการหมุนเวียนไปก่อน จนกว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถผลักดันมาตรการระยะยาวด้านการค้า การส่งออก และการท่องเที่ยวให้แข็งแกร่งขึ้นได้
ในด้านความมั่นคงของประเทศ การยุบสภาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายแดนหรือต่อภาพลักษณ์ต่อนักท่องเที่ยว เนื่องจากรัฐบาลที่ยุบสภาไปแล้วยังคงเป็นรัฐบาลรักษาการ และนายกรัฐมนตรียังสามารถสั่งการได้อยู่ การยุบสภาถือเป็นกลไกตามหลักประชาธิปไตย ไม่ใช่การรัฐประหารหรือปฏิวัติ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว
ความกังวลสูงสุดคือปัญหา ความสามารถในการจัดการเลือกตั้งพร้อมกันทั่วประเทศตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นในวันเดียวกันทั่วประเทศ แต่ขณะนี้ 7 จังหวัดชายแดนทางภาคอีสานยังคงมีการรบกันอยู่ ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้พร้อมกัน หากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามกำหนด (ประมาณ 45-60 วัน) รัฐบาลรักษาการจะต้องยืดเยื้อออกไปอีก
นายสรเทพ กล่าวว่า หากการเลือกตั้งยืดเยื้อยาวนานเกินกว่า 4-5 เดือน จะเกิดผลกระทบรุนแรงตามมา ซึ่งถือเป็น หายนะทางเศรษฐกิจ ดังนี้
1. ความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะลดลง
2. เศรษฐกิจจะชะงัก เพราะจะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใด ๆ ออกมา
3. มาตรการตอบโต้ทางการค้าหรือการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น เรื่องภาษีกับสหรัฐฯ จะถูกแช่แข็งทั้งหมด
หากการเลือกตั้งล่าช้าเกิน 60 วัน GDP ที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.6% อาจหล่นลงไปเหลือเพียง 1.2% ภาวะเช่นนี้ถือเป็นเรื่องน่าห่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อประเทศยังเผชิญกับสภาวะสงคราม ซึ่งทำให้คาดการณ์ว่า ปี 2569 อาจจะหนักกว่าปีนี้ด้วยซ้ำ
สำหรับมุมมองของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจในรายละเอียดของการฉีก MOA หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากประเด็นเหล่านี้ถือเป็นเรื่องของนักการเมืองล้วน ๆ สิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจคือ ปัญหาปากท้อง และสภาวะทางเศรษฐกิจ
เนื่องจาก GDP ของประเทศไทยยังคงรั้งท้ายในอาเซียน โดยเติบโตไม่เกิน 2% ในปีหน้า ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม เติบโตไปถึง 7% ดังนั้น ประชาชนต้องการเพียงรัฐบาลใดก็ได้ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้สำเร็จก่อน
นายสรเทพ ฝากความหวังไว้กับรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาว่า ต้องการเห็นรัฐมนตรีที่มีความสามารถใน 4 กระทรวงหลัก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ได้แก่ 1. คลัง 2. พาณิชย์ 3. ท่องเที่ยว และ 4. เกษตร