เอกชนชี้ ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเอื้อผู้ประกันตน แต่บีบกำไร

03 ธ.ค. 2568 | 22:35 น.

เอกชนเผย การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่ส่งผลบวกต่อรายได้ และต้องการให้รัฐบาลพิจารณาประชาพิจารณ์อย่างรอบคอบ

KEY

POINTS

  • ครม. มีมติเห็นชอบการปรับฐานค่าจ้างขั้นต่ำและเพดานค่าจ้างสูงสุดที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม โดยมีการปรับเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี เริ่มจาก 17,500 บาทในปี 2569 และสูงสุดที่ 23,000 บาทในปี 2575 เป็นต้นไป เพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนสอดคล้องกับค่าจ้างที่แท้จริง
  • ผู้ประกอบการร้านอาหารและธุรกิจแฟรนไชส์กังวลว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถเพิ่มรายได้หรือกำไรได้ตามที่คาดหวัง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
  • ผู้บริหารธุรกิจแนะนำให้รัฐบาลทำประชาพิจารณ์หรือสอบถามความคิดเห็นจากภาคธุรกิจ เพื่อให้การปรับค่าจ้างเป็นไปตามความเหมาะสมและคำนึงถึงผลกระทบต่อธุรกิจอย่างรอบคอบ
  • แม้ว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตน แต่ผู้ประกอบการมองว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับค่าแรงและค่าประกันสังคมอาจทำให้กำไรสุทธิของธุรกิจลดลง หรือไม่เปลี่ยนแปลง

คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการปรับฐานค่าจ้างขั้นต่ำและเพดานค่าจ้างสูงสุดที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการจ้างงานจำนวนมาก

การปรับฐานค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ได้กำหนดไว้ว่า ค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมจะปรับเพิ่มขึ้นตามขั้นบันไดทุก 3 ปี โดยเริ่มจาก 17,500 บาทในปี 2569-2571 และจะเพิ่มสูงสุดที่ 23,000 บาทในปี 2575 เป็นต้นไป โดยการปรับเพดานค่าจ้างสูงสุดนี้จะมีผลต่อการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น เงินบำนาญชราภาพและเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต ซึ่งจะทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นตามสภาพค่าจ้างที่แท้จริง

การปรับฐานค่าจ้างครั้งนี้ถือเป็นการสะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐในการปรับปรุงสวัสดิการให้กับผู้ประกันตนให้มีความสอดคล้องกับค่าจ้างที่ได้รับจริง ซึ่งเป็นการช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับผู้ประกันตนในระยะยาว

นายสุรพงศ์ สุทธิกุญชร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไข่หวานบ้านซูชิ (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในผู้ประกอบการในภาคธุรกิจร้านอาหาร ได้เปิดเผยข้อมูลกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในช่วงเวลานี้ เนื่องจากมองว่าอาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยมีเหตุผลหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานค่าจ้างในเชิงเศรษฐกิจ

การขยับตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นในช่วงนี้จะส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการต้นทุนของธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้เพียงแค่เพิ่มรายจ่ายในส่วนของค่าจ้าง แต่ยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าประกันสังคมที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการ

นายสุรพงศ์ สุทธิกุญชร

ในกรณีของธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีการจ้างงานจำนวนมาก การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่ารายได้จากการขายอาจจะเพิ่มขึ้นตามการปรับฐานค่าจ้าง แต่กำไรสุทธิที่แฟรนไชส์ได้รับอาจจะเท่าเดิม หรืออาจจะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการพนักงาน

นายสุรพงศ์กล่าวว่า แม้จะมีการเพิ่มค่าแรงให้กับพนักงาน แต่ต้นทุนที่สูงขึ้นก็ส่งผลให้กำไรสุทธิของธุรกิจหรือแฟรนไชส์อาจจะไม่เพิ่มขึ้นตามที่คาดหวัง ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ หากต้นทุนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้ธุรกิจไม่สามารถรับมือได้ในระยะยาว

จากมุมมองของผู้บริหารในภาคธุรกิจ นายสุรพงศ์ได้เสนอแนะว่า หน่วยงานราชการควรมีการสอบถามความคิดเห็นจากผู้ประกอบการธุรกิจและทำประชาพิจารณ์ (Survey) ก่อนที่จะตัดสินใจในการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งการทำประชาพิจารณ์จะช่วยให้การตัดสินใจเกิดขึ้นจากข้อมูลที่หลากหลาย และช่วยให้ทุกฝ่ายได้รับข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น

การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการจะช่วยให้หน่วยงานราชการเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจ และสามารถปรับนโยบายให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น นอกจากนี้การทำประชาพิจารณ์จะช่วยสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย