KEY
POINTS
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศขอขอบคุณรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี รวมถึงคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่เห็นถึงความเป็นจริงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน และตัดสินใจ “ปลดล็อกช่วงเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็น” ซึ่งเคยเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการทำธุรกิจร้านอาหารและบรรยากาศท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นปลายปี
ข้อจำกัดเวลาดังกล่าวเดิมมีที่มาจาก “คำสั่งคณะปฏิวัติปี 2515” ซึ่งออกเพื่อห้ามข้าราชการนั่งดื่มในเวลาราชการ แต่สภาพสังคมและเศรษฐกิจปัจจุบันแตกต่างจากกว่า 50 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ประเทศไทยเติบโตขึ้นเป็น “จุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก” ร้านอาหารจึงกลายเป็นหัวใจของอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งต้องรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่มทั่วโลก
ที่ผ่านมา เมื่อกฎหมายฉบับใหม่กำหนดโทษเข้มงวดต่อนักท่องเที่ยวที่ดื่มเกินเวลา ทำให้สื่อต่างประเทศจำนวนมากรายงานประเด็นนี้จนเกิด “ความหวาดกลัวในการเดินทางเข้าไทย” โดยเฉพาะในกลุ่มที่วางแผนท่องเที่ยวช่วงปลายปี ซึ่งผลต่อเนื่องคือการตัดสินใจเปลี่ยนปลายทางไปยังประเทศอื่นในอาเซียนที่มีกฎระเบียบยืดหยุ่นกว่า ทำให้ไทยเสี่ยงสูญเสียรายได้ท่องเที่ยวจำนวนมากโดยไม่จำเป็น
การปลดล็อกครั้งนี้จึงเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการ เพราะร้านอาหารจะกลับมาสร้างรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 20% จากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่มักเริ่มทานอาหารกลางวันช้ากว่าคนไทย มักเข้าร้านช่วงบ่ายและนิยมสั่งเบียร์หรือไวน์คู่กับมื้ออาหาร หากสามารถดื่มได้ตามปกติ นักท่องเที่ยวจะนั่งทานอาหารนานขึ้น สั่งอาหารเพิ่มขึ้น และทำให้ร้านอาหารไม่ต้องเผชิญ “ช่วงเวลาฟันหลอ” ยาว 3 ชั่วโมงในตอนบ่ายอีกต่อไป
ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรป มักต้องการหาร้านนั่งพักจิบเบียร์ในช่วงบ่าย การเปิดโอกาสให้บริการได้ตามความต้องการจริงของตลาด จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างเป็นรูปธรรม
หลังรัฐบาลปลดล็อกข้อจำกัดนี้ เชื่อว่าจะกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยให้คึกคักตั้งแต่ปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน พร้อมทั้งช่วยพยุงธุรกิจร้านอาหารให้มีรายได้และสภาพคล่องดีขึ้นในช่วงเศรษฐกิจเปราะบาง
อย่างไรก็ตาม มองว่า การปลดล็อกควร “ทำแบบถาวร” เพราะกฎหมายเดิมไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในโลกปัจจุบันอีกต่อไป การปรับกฎหมายให้ทันต่อบริบทยุคใหม่จึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสามารถแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในระยะยาว