KEY
POINTS
กระแสความไม่พอใจในภาคธุรกิจบริการและท่องเที่ยวกำลังปะทุขึ้นอีกระลอก หลังผู้ประกอบการร้านอาหาร เครื่องดื่ม ผับบาร์ รวม 3 สมาคม 1 ชมรม ประกาศรวมตัวเตรียมยื่น “จดหมายร้องเรียน” ต่อรัฐบาล เรียกร้องให้ทบทวนกฎหมายแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อผู้ประกอบการทั่วประเทศ ทั้งในด้านยอดขาย การจ้างงาน และภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวไทยในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การรวมตัวครั้งนี้ไม่ใช่เพียง “ข้อเสนอเชิงนโยบาย” แต่เป็น “การร้องขอให้รัฐบาลเร่งปลดล็อก” กฎหมายแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ที่จำกัดเสรีภาพของผู้บริโภคและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญ
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.30 น. กลุ่มผู้ประกอบการภาคเอกชนจากหลายสมาคม เตรียมเดินทางไปยื่นหนังสือถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งทบทวนและแก้ไข พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจในวงกว้าง
การยื่นหนังสือครั้งนี้จะมี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล เป็นผู้แทนรับเรื่อง โดยมีผู้แทนสมาคมและชมรมเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ประกอบด้วย
นายสรเทพ กล่าวต่อว่า การรวมตัวครั้งนี้ไม่ใช่เพียงข้อเสนอเชิงนโยบาย แต่เป็น “การร้องขอให้รัฐบาลเร่งปลดล็อก” กฎหมายแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดข้อห้ามที่ซ้ำซ้อนและกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้บริโภค รวมถึงส่งผลโดยตรงต่อยอดขายและการจ้างแรงงานในภาคธุรกิจบริการ
กฎหมายฉบับดังกล่าวยังคงข้อห้ามจำหน่ายแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00–17.00 น. และ หลังเที่ยงคืนถึง 11.00 น. ของวันถัดไป แต่มีการเพิ่มข้อบังคับใหม่ให้ร้านค้า “ห้ามนั่งต่อ” หลังหมดเวลาจำหน่าย ซึ่งสร้างความสับสนและยากต่อการปฏิบัติจริง โดยเฉพาะในธุรกิจร้านอาหารและสถานบันเทิงที่มีลูกค้าต่างชาติ หากลูกค้ายังมีเครื่องดื่มเหลือ ร้านก็ไม่สามารถ “ให้ดื่มต่อ” หรือ “ไล่ลูกค้าออก” ได้ทันที
ซึ่งกฎหมายฉบับนี้บังคับให้ทำนั้น คือการที่พอถึงเวลา เที่ยงคืน 1 นาที ทุกร้านต้องส่งสัญญาณและไล่คนออกจากร้านทันที ซึ่งมีลักษณะเทียบเท่ากับการใช้ "กฎหมายเคอร์ฟิว" หรืออาจรุนแรงถึงขั้น "กฎอัยการศึก" ก็ว่าได้ ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนเกินไป
กฎหมายดังกล่าวสร้างความเสียหายอย่างยิ่งในช่วงปลายปี ซึ่งเป็น High Season ที่ธุรกิจถนนข้าวสารและธุรกิจท่องเที่ยวอื่นๆ คาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา Celebrate และเฉลิมฉลองคริสต์มาสและปีใหม่
อีกทั้งกฎหมายนี้ทำให้ประเทศต่างๆ เริ่มประกาศเตือนนักท่องเที่ยวของตนเองที่จะเดินทางมาไทยแล้ว ตัวอย่าง รัฐบาลออสเตรเลีย ได้ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวเรื่องกฎหมายที่ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 14:00 น. ถึง 17:00 น. และหลังเที่ยงคืน หากฝ่าฝืนอาจถูกปรับ ความกังวลคืออาจทำให้นักท่องเที่ยว เปลี่ยนใจไปเที่ยวประเทศอื่น และกลัวว่าประเทศอื่นๆ จะประกาศเตือนตามมาอีกหลายประเทศ และนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาเพื่อเคาท์ดาวน์จะตัดสินใจยกเลิกการเดินทาง เนื่องจากเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน 1 นาที พวกเขาไม่สามารถนั่งดื่มต่อในร้านได้ แล้วจะมาเคาท์ดาวน์ทำไม
ส่วนความเสียหายต่อยอดขายภาคธุรกิจร้านอาหาร คาดการณ์ว่ายอดขายส่วนของอาหารจะหายไป ไม่ต่ำกว่า 15% เพราะหากลูกค้าไม่สามารถนั่งดื่มต่อเนื่องได้ในช่วงเวลาห้ามขาย จะเกิดภาวะ "ฟันหลอ" ของยอดขายเป็นเวลา 3 ชั่วโมงเต็ม (14:00-17:00 น.) ซึ่งในอดีต แม้จะห้ามขาย แต่ลูกค้าที่มีเบียร์เหลืออยู่ยังสามารถนั่งต่อและสั่งกับแกล้มหรืออาหารได้
สำหรับธุรกิจกลางคืน (ผับ บาร์) ธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด วงจรชีวิตของธุรกิจกลางคืนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะ เริ่มต้นตอน 23:00 น. หากลูกค้าไม่สามารถนั่งต่อหลังเที่ยงคืนได้ เท่ากับพวกเขามีเวลาเที่ยวเพียง 1 ชั่วโมง เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจ "ไม่ไปดีกว่า" เมื่อผับบาร์ต้องปิดเร็วขึ้นและลูกค้าไม่สามารถนั่งต่อได้ ธุรกิจเหล่านี้ก็ต้อง ลดจำนวนการจ้างพนักงาน และลดจำนวนชิฟต์ลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคแรงงาน
ผลกระทบระยะยาวกฎหมายนี้อาจทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนจุดหมายปลายทางโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ของประเทศไทย ชาวต่างชาติมองว่าเบียร์เป็นเพียง "เครื่องดื่มชนิดหนึ่ง" ไม่ใช่ยาพิษ ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าอากาศร้อนมากในช่วงบ่าย นักท่องเที่ยวจึงมีความเป็นธรรมชาติที่จะ "นั่งกินเบียร์" ในช่วงบ่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือสมุย
หากยังคงมีการห้ามขายแอลกอฮอล์ในช่วงบ่ายในพื้นที่ชายหาด นักท่องเที่ยวอาจจะพิจารณาเปลี่ยนไปเที่ยวประเทศอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น "ไปบาหลี ดีกว่า"
กลุ่มผู้ประกอบการมองว่ากฎหมายนี้ ย้อนแย้ง กับความพยายามของรัฐบาลในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ และขัดขวางการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ผู้ประกอบการเชื่อว่า หากสามารถแก้ไขกฎหมายนี้ได้โดยเร็ว จะมีผลในการ "กระตุ้น 100%" เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวทันที ทำให้นักท่องเที่ยวไม่เปลี่ยนใจและสร้างบรรยากาศการเฉลิมฉลองในช่วงไฮซีซันกลับมาฟื้นตัวได้