ไทยเบฟ เปิดโรดแมป วิชัน 2025 เดินเครื่องยํ้าแชมป์ผู้นำผ่านคีย์ซักเซส “เทคโนโลยี-บุคลากร-ตราสินค้า” ประกาศทุ่ม 7,000 ล้านบาท โชว์ผลงานโค้งท้ายวิชัน 2020 กรุยทางสู่ผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรที่ยั่งยืนระดับโลก
เดินทางมาจนถึงโค้งสุดท้ายแล้วสำหรับวิชัน 2020 ของกลุ่มไทยเบฟในการก้าวสู่ผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรที่ยั่งยืนระดับภูมิภาคและในระดับโลก ภายใต้การนำของ “ฐาปน สิริวัฒนภักดี” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่บรรลุแผนงานเป้าหมายที่วางไว้ล่าสุดกับการประกาศโรดแมปใหม่ของกลุ่มภายใต้ “วิชัน 2025” ด้วยต้องการสานต่อแผนงานระยะยาวต่อเนื่อง ยํ้าหัวใจสำคัญผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มระดับโลก
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ เปิดเผยว่า ไทยเบฟประกาศแผนงานใหม่ตามวิชัน 2025 ทางกลุ่มจะให้ความสำคัญกับ 1.การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิตอล 2.สรรหา/พัฒนา เพิ่มศักยภาพคน 3.การขยายตลาดให้ครอบคลุม อาเซียน+6 เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่บริษัทในเครือ
ขณะเดียวกันยังต้องสามารถพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานเพื่อเข้าสู่โลกของ Digital Age ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ข้อหลัก ได้แก่ Growth การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ,Diversity ความหลากหลายของสินค้าและตลาด, Brand การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง, Reach เข้าถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งคู่ค้าและลูกค้า และ Professionalism ความเป็นมืออาชีพ
นอกจากนี้ยังจะมีการขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไทย ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดสำคัญ เช่น เวียดนาม และเมียนมา ที่ทำให้ทางกลุ่มมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมกับเน้นเรื่องการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน+6 หรือกลุ่มประเทศที่มีพรมแดนเชื่อมต่อกับไทยจะเน้นทำตลาดและเข้าไปลงทุน ขณะที่กลุ่มที่ไม่มีพรมแดนติดกับไทยจะให้ความสำคัญคัญกับการกระจายสินค้าเข้าไปในรูปแบบดิสตริบิวเตอร์
“บริษัทไม่ได้มองเพียงเรื่องของอาเซียน ซึ่งจะมีประชากรสูง 700 ล้านคน ภายในปี 2025 รวมถึงนักท่องเที่ยวอีกกว่า 120 ล้านคน เหมือนใน Vision 2020 แต่ในปี 2025 เรามองไปถึงอาเซียน+6 ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่าครึ่งโลก มีประเทศที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูง เช่น เมียนมา 7.4% กัมพูชา 7.2% ลาว 7.1% และเวียดนาม 6.2% กลุ่มประเทศที่เป็นที่จับตามองในปัจจุบันคือ MTV (เมียนมา ไทย และเวียดนาม) นอกจากนี้ เรามองไปข้างหน้าเห็นโอกาสที่น่าตื่นเต้น ผมเห็นว่าเรายังมีโอกาสจากการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของโลกผ่านโครงการสำคัญ เช่น Belt Road Initiative ของประเทศจีน”
ด้านแผนงานในปี 2020 หรือปี 2563 ซึ่งถือเป็นปีสุดท้ายของการดำเนินงานภายใต้วิชั่น 2020 (ปี 2557-2563) บริษัทเตรียมใช้งบลงทุน 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ 3,500 ล้านบาท ในการดำเนินงาน ลงทุน พัฒนาศักยภาพ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีต่างๆในการดำเนินงาน เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายในการเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรที่ยั่งยืนระดับภูมิภาคและในระดับโลกในอนาคต ควบคู่กับการสร้างการเติบโตให้กลุ่มเครื่องดื่มโลคัล แชมเปียน ทั้งกลุ่มเบียร์ นํ้าดื่มให้มีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยช่วงที่เหลือ 1 ปีนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับการทำตลาดที่ทางกลุ่มคุ้นเคยในอาเซียน ซึ่งจะโฟกัสความชัดเจนในแต่ละตลาดให้มากขึ้น โดยเฉพาะในไทย เวียดนาม และเมียนมา
“หลายคนมองถึงการควบรวมกิจการ (M&A) ใหม่ๆของบริษัท แน่นอนว่าในแง่ของการเจรจาบิ๊กดีลหรือการเข้าซื้อกิจการใหม่ๆบริษัทย่อมมีในแผนลงทุนหรือมีการวางนโยบายไว้อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามทางกลุ่มก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องมีการปิดดีลตามกำหนดการแต่อย่างไร”
สำหรับแผนงานในช่วงปีสุดท้ายของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มธุรกิจสุรา,กลุ่มธุรกิจเบียร์,กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร แน่นอนว่าไทยเบฟยังคงยํ้าแผนงานเดิมตามวิชัน 2020 ช่วงที่เหลือเพียงปีนับจากนี้ (2562-2563) โดยเริ่มจากกลุ่มธุรกิจสุราที่ จะโฟกัส 3 ส่วนหลักได้แก่ สุราขาวรวงข้าวที่มีการปรับแพ็กเกจจิ้งและโลโกใหม่,สุราสีหงส์ทอง ที่เพิ่มบรรจุภัณฑ์ขนาด 1 ลิตร และแบรนด์ คูลอฟ ที่มีการเปิดตัวใหม่ KULOV Red Blast RTD และ KULOV Vodka พร้อมทั้งลดปริมาณแอลกอฮอล์ลงเหลือ 3.8%
ขณะที่กลุ่มเบียร์ ได้เปิดตัวเบียร์ “ช้าง 25 ปี โคลด์ บริว ลาเกอร์ พร้อมทั้งจับมือ F&N ตั้งโรงเบียร์ Emeral Brewery ในเมียนมา พร้อมกันนี้ยังได้รุกตลาดในเวียดนามเชิงรุกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับระบบดีลเลอร์ ตั้งโรงงานใหม่ ด้านกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จะพัฒนาเครื่องดื่มนํ้าตาลตํ่า/ไม่มีนํ้าตาล เข้าทำตลาดเพื่อให้สอดรับกับเทรนด์สุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังจะมาการเน้นการบริหารจัดการ ลดต้นทุนเพิ่มกำไร และสุดท้ายกับกลุ่มอาหาร จะเน้นการขยายสาขา ตอกยํ้านวัตกรรมอาหาร และเพิ่มดิจิทัล แพลตฟอร์ม /ดีลิเวอรีเข้าถึงลูกค้า โดยปัจจุบันทางกลุ่มมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากกลุ่มธุรกิจแอลกอฮอล์ 80% และนอนแอลกอฮอล์ 20%
หน้า 32 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3511 ระหว่างวันที่ 6-9 ตุลาคม 2562