ทาครีมกันแดดอย่างไร ให้ ‘กันแดด’ ได้

04 เม.ย. 2566 | 07:23 น.

ทาครีมกันแดดอย่างไร ให้ ‘กันแดด’ ได้ คอลัมน์ Tricks for life

จะเรียกว่า “หน้าร้อน” หรือ “ซัมเมอร์” เชื่อว่าสาวๆ (หรือหนุ่มๆบางคน) ย่อมไม่ชื่นชอบ เมื่อหน้าสวยๆ ต้องมันเยิ้ม เผชิญกับ UVA UVB จนถึงขั้นเป็นกระ เป็นฝ้า รวมถึงผิวแก่ก่อนวัย (Photo aging)

ยิ่งเมื่อหลายคนวางแผนเดินทางท่องเที่ยว พักผ่อน ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็ต้องคอยเฝ้าระวัง กังวลกับปัญหาผิวคล้ำเสียจากแสงแดด ทำให้หมดสนุก ล่าสุด “ธัญ” (THANN) แบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม จึงจัดทริปแนะนำ “เคล็ดลับการดูแลผิวช่วงหน้าร้อน พร้อมเทคนิคการทาครีมกันแดด

พญ.สุธาสินี ตันสุริยวงษ์ แนะเคล็ดลับว่า การได้รับแสงแดดในช่วงเวลาและปริมาณที่เหมาะสมจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการเสริมสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรง แต่หากผิวหนังไม่ได้รับแสงแดดเลย หรือโดนแดดน้อยเกินไป อาจทำให้เกิดอาการกระดูกเปราะบางลงและเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ดังนั้นแสงแดดจึงมีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกาย

ทาครีมกันแดดอย่างไร ให้ ‘กันแดด’ ได้

แสงแดดที่มีผลต่อร่างกายคือ รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet light : UV) ซึ่งเป็นรังสีที่เป็นตัวการทำร้ายผิวของเรา ทั้ง UVA1, UVA2, UVB เมื่อกระทบต่อผิวในระยะสั้น ทำให้ผิวไหม้แดด เกิดอาการแดง แสบ ร้อนผิว เกิดอาการแพ้แสง (Photo allergic) ส่วนในระยะยาวจะทำให้ผิวแก่ก่อนวัย (Premature aging และ Photo aging) ผิวเกิดความเหี่ยวย่น เนื่องจากคอลลาเจนใต้ชั้นผิวถูกทำลาย รวมถึงการเกิดริ้วรอย กระ ฝ้า และอาจลุกลามเป็นโรคผิวหนังได้

ขณะที่ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ Physical Sunscreen สารกันแดดที่ทำหน้าที่เสมือนกระจกเงาสะท้อนหรือหักเหรังสียูวีออกไปจากผิว สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA1, UVA2 และ UVB ได้, Chemical Sunscreen สารกันแดดที่ทำหน้าที่ดูดซับรังสียูวีไม่ให้ทะลุผ่านลงไปยังชั้นผิวหนัง สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ทุกตัว

แต่ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA1, UVA2 แตกต่างกันไป และ Hybrid Sunscreen สารกันแดดแบบผสมที่มีคุณสมบัติทั้งสะท้อนและดูดซับรังสีในตัวเอง พัฒนามาเพื่อลดข้อด้อยของสารกันแดดทั้ง 2 แบบข้างต้น สามารถทาแล้วออกแดดได้ทันทีไม่ต้องรอ ปกป้องผิวจากรังสี UVA1,UVA2 และ UVB ได้ เนื้อเกลี่ยง่าย ไม่เหนียว ไม่ทำให้หน้าขาว

ปัจจัยหลักในการปกป้องผิวจากรังสียูวีแต่ละประเภทได้จากค่า SPF (Sun Protection Factor) โดยค่า SPF 15 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 93.3% เหมาะสำหรับผู้ที่ทำกิจกรรมภายในอาคาร ตึก หรือบ้าน แต่ไม่มีการโดนแสงแดดเลย สำหรับผู้ที่มีผิวสองสี หรือผิวสีน้ำผึ้ง ค่า SPF ในระดับนี้ หากอยู่กลางแสงแดดนานเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการผิวแดงเล็กน้อย

ทาครีมกันแดดอย่างไร ให้ ‘กันแดด’ ได้

ค่า SPF 30 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 96.7% เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งที่มีเงาร่มและอากาศที่ไม่ร้อน ส่วนค่า SPF 50 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 98% เหมาะสำหรับกิจกรรมที่อยู่กลางแจ้ง หรือสถานที่แสงแดดแรงจัด เช่น ทะเล ภูเขา

ส่วน “ค่า PA” (Protection grade of UVA) ที่หลายคนคุ้นเคย เป็นการบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการปกป้องรังสี UVA ที่สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่น (Japan Cosmetic Industry Association, JCIA) กำหนดขึ้น เช่น PA++ ซึ่งปัจจุบันค่า PA++++ ถือว่าเป็นค่าที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ได้มากกว่า 16 เท่า

ดังนั้นหากต้องการทาครีมกันแดดให้ “กันแดด” ได้ จึงต้องเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและควรปฏิบัติตามฉลากที่ระบุไว้

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,873 วันที่ 26 - 29 มีนาคม พ.ศ. 2566