ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตนํ้ามัน ทั้งนํ้ามันเบนซิน และ ดีเซล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 7 พฤษภาคม 2568
ส่งผลให้ภาษีสรรพสามิตที่เรียกเก็บ อาทิ นํ้ามันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร จากเดิม 6.50 บาทต่อลิตร เป็น 7.50 บาทต่อลิตร และภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.650 บาทต่อลิตร เป็น 0.750 บาทต่อลิตร หรือเพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร
นํ้ามันแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) และ นํ้ามันแก๊สโซฮอล์ 91 (E10) เพิ่มขึ้น 0.90 บาทต่อลิตร จากเดิมเก็บ 5.85 บาทต่อลิตร เป็น 6.75 บาทต่อลิตร และส่วนภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.585 บาทต่อลิตร เป็น 0.675 บาทต่อลิตร หรือเพิ่มขึ้น 0.090 บาทต่อลิตร
ส่วนนํ้ามันดีเซล เก็บเพิ่มขึ้น 0.93 บาทต่อลิตร จากเดิม 5.99 บาทต่อลิตร เป็น 6.92 บาทต่อลิตร และภาษีท้องถิ่นจากเดิมเก็บ 0.599 บาทต่อลิตร เป็น 0.6920 บาทต่อลิตร หรือ เพิ่มขึ้น 0.093 บาทต่อลิตร เป็นต้น
กระทรวงการคลัง ได้ให้เหตุผลในการปรับขึ้นภาษีนํ้ามันในครั้งนี้ว่า ปัจจุบันราคานํ้ามันดิบในตลาดโลก มีแนวโน้มปรับตัวลดลง สมควรเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้านํ้ามันและผลิตภัณฑ์นํ้ามัน ประเกทนํ้ามันเบนซินและนํ้ามันดีเซล เพื่อให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
อันเป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และเสถียรภาพทางการคลังของรัฐ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกเกิดขึ้นจากภาวะสงครามการค้า
ขณะที่กรมสรรพสามิต รายงานว่า เป็นการช่วยให้
สถานการณ์การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตดีขึ้น เนื่องจากการจัดเก็บภาษีรถยนต์ตามมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ทำให้รายได้ยังต่ำกว่าเป้าหมายค่อนข้างมาก โดยการปรับขึ้นภาษีนํ้ามันสูงสุดลิตรละ 1 บาท จะช่วยให้กรมจัดเก็บรายได้เพิ่มเดือนละประมาณ 2,900 ล้านบาท หรือ ประมาณ 34,800 ล้านบาทต่อปี
แม้ว่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นครั้งนี้ จะไม่ส่งต่อราคาขายปลีกนํ้ามันเพิ่มขึ้น จากการลดส่งเงินเข้ากองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง แต่ในมุมมองของผู้บริโภคเห็นว่า ปัจจุบันสถานการณ์ราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกปรับลดลงมาเฉลี่ยที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ถือเป็นราคาที่ต่ำสุดในรอบ 4 ปี
ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่ามาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นมา ผู้บริโภค หรือ ประชาชนจะได้อานิสงส์ของราคาขายปลีกนํ้ามันที่ปรับตัวลดลงมาจากปัจจัยดังกล่าว
การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตนํ้ามันที่เพิ่มขึ้น จึงถือเป็นการซํ้าเติมผู้บริโภค ที่ยังต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น ในยามที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว ซึ่งรัฐบาลควรจะใช้โอกาสของราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงและเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น มาใช้ควบคู่กับการลดส่งเงินเข้ากองทุนนํ้ามันฯ มาสร้างเป็นผลงานของรัฐบาล ในการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนได้ แต่รัฐบาลไม่เลือกที่จะทำ
สวนทางกับความรู้สึกของประชาชน ที่ราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง แต่ราคาขายปลีกนํ้ามันในไทย ไม่ปรับตัวลดลงตามปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น
หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,095 วันที่ 11 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568