เปิดเกมเจรจา สงครามการค้า

21 เม.ย. 2568 | 06:35 น.
อัปเดตล่าสุด :21 เม.ย. 2568 | 06:43 น.

เปิดเกมเจรจา สงครามการค้า : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,089

ในสัปดาห์นี้คงต้องจับตา ทีมไทยแลนด์ ที่นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะไปเจรจาผ่อนปรนมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศมาตรการภาษีศุลกากร ตอบโต้ทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งไทยโดนกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 36% จากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ กว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ข้อต่อรองที่ฝ่ายไทยจะนำเสนอสหรัฐฯ เพื่อลดการเกินดุลลงมา เบื้องต้นเกี่ยวข้องด้านพลังงาน ที่ไทยจะเสนอซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG นำมาผลิตไฟฟ้า รวมถึงก๊าซอีเทน ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมี โดยจะทำสัญญาซื้อก๊าซ LNG จากเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐ ซึ่งเริ่มจัดส่งในปี 2569 ปริมาณกว่า 1 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าปีละประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ซื้อขายก๊าซอีเทน (Ethane) เพิ่ม 400,000 ตัน ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การซื้อขายดังกล่าว คาดว่าจะเป็นสัญญาระยะยาว โดยเฉพาะ LNG ที่ ปตท. มีสัญญาระยะยาวจะหมดอายุในอีก 5 ปีข้างหน้า จำเป็นต้องมีแผนจัดหามาเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ไปร่วมลงทุนในโครงการ Alaska LNG ทั้งการสำรวจและผลิตก๊าซ การก่อสร้างท่อส่งก๊าซจากแหล่งผลิตไปยังโรงแปรสภาพก๊าซ และการก่อสร้างโรงแปรสภาพก๊าซ และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการส่งออกก๊าซธรรมชาติจากรัฐอะแลสกาไปยังภูมิภาคอื่นๆ เป็นต้น

ขณะที่ภาคเกษตร ไทยจะเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวโพด ที่มีความต้องการอยู่ราว 9.2 ล้านตันต่อปี แต่ผลิตได้เอง 5 ล้านตันต่อปี และกากถั่วเหลือง มีความต้องการที่ 5 ล้านตันต่อปี แต่ผลิตเองได้ 2 ล้านตันต่อปี ดังนั้น ยังมีช่องว่า ที่จะนำเข้าจากสหรัฐฯ รวมกันได้อีก 7.2 ล้านตันต่อปี

ที่กล่าวมา เป็นเพียงนํ้าจิ้มในหลายๆ ข้อเสนอที่ทีมไทยแลนด์จะไปยื่นข้อเสนอให้สหรัฐฯ ซึ่งคงต้องมาลุ้นกันว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะยอมปรับลดอัตราภาษีลงมาอยู่ระดับ 10% หรือ ทำการค้ากับไทยเข้าสู่ภาวะปกติได้หรือไม่ ซึ่งภาคเอกชนมีความเป็นห่วงว่า หากไทยเจรจาไม่สำเร็จ ไทยจะเสียเปรียบเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญที่มีแนวโน้มจะได้รับการปรับลดอัตราภาษีลงมา

โดยเฉพาะผลกระทบจากการส่งออกสินค้า ไม่ว่าจะเป็น ชิ้นส่วนยานยนต์ จักรยานยนต์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก ยางพารา และ ไม้ยางพารา สินค้าประมงโดยเฉพาะกุ้ง สิ่งทอ แผงโซลาร์เซลล์และส่วนประกอบ ถุงมือยาง เป็นต้น จะได้รับผลกระทบสูงสุด

SCB EIC ประเมินว่า หากการเจรจาของไทยไม่สำเร็จ สหรัฐฯ จะยังคงจัดเก็บภาษีนำเข้าอยู่ที่ระดับ 36% ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ลดลงสะสมราว 8.1 แสนล้านบาท เมื่อมีการบังคับใช้มาตรการด้านภาษีครบ 5 ปี

อย่างไรก็ตาม การค้าขายของโลกนับจากนี้ไป จะไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป จากความไม่แน่นอนนโยบายของประเทศมหาอำนาจทางการค้าทั้ง สหรัฐอเมริกา และ จีน 

ดังนั้น ในระยะ 90 วัน ผู้ประกอบการจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่มีแนวโน้มอาจจะยืดเยื้อออกไป แทนที่จะเฝ้ารอความหวังในการเจรจาของรัฐบาล

หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,089 วันที่ 20 - 23 เมษายน พ.ศ. 2568