ล่าโอกาสทั่วโลก เก็บทุกเทรนด์เข้าพอร์ต

13 ส.ค. 2568 | 22:30 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ส.ค. 2568 | 01:23 น.

ล่าโอกาสทั่วโลก เก็บทุกเทรนด์เข้าพอร์ต คอลัมน์ SUPER TRADER โดย โค้ชเจ สรวิศ กลั่นแก้ว Super Trader

KEY

POINTS

  • การลงทุนยุคใหม่ต้องติดตาม "กระแสเงิน" (Money Flow) ทั่วโลก ซึ่งจะไหลไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าหรือปลอดภัยกว่าในแต่ละช่วงเวลา
  • ใช้กราฟราคาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ทิศทางของเงินทุน ควบคู่กับการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อป้องกันพอร์ตการลงทุน
  • นักลงทุนควรมีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง และพร้อมปรับพอร์ตเพื่อไล่ล่าโอกาสและเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากเทรนด์ใหม่ๆ ทั่วโลก

ล่าโอกาสทั่วโลก เก็บทุกเทรนด์เข้าพอร์ต คอลัมน์ SUPER TRADER โดย โค้ชเจ สรวิศ กลั่นแก้ว Super Trader

ตลาดการเงินในวันนี้ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตลาดไม่ได้มีแค่หุ้นไทยหรือกองทุนในประเทศอีกต่อไป นักลงทุนที่ต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่องต้องมองให้ไกลกว่าเดิม มองให้กว้างกว่ากรอบเดิม และต้องรู้จักวิ่งตาม “กระแสเงิน” ที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา เพราะความจริงคือ เงินไม่เคยหยุดนิ่ง มันจะไหลไปหาที่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ปลอดภัยกว่า หรือมีโอกาสเติบโตมากกว่าในช่วงเวลานั้นๆ

ลองสังเกตดูว่าช่วงใดที่ดอกเบี้ยสูง เงินจำนวนมหาศาลจะไหลเข้าสู่พันธบัตรและตราสารหนี้เพื่อล็อกผลตอบแทนที่แน่นอน แต่พอดอกเบี้ยเริ่มลด นักลงทุนก็พร้อมจะย้ายเงินไปหาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น เพื่อไล่ล่ากำไรจากการเติบโตของบริษัท บางครั้งเมื่อโลกเจอความไม่แน่นอน เงินก็หนีไปหลบในทองคำหรือค่าเงินที่แข็งแกร่ง เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือแม้แต่คริปโตอย่างบิทคอยน์ก็กลายเป็นที่หลบภัยชั่วคราวในบางช่วงเวลา

นี่คือเหตุผลที่การเข้าใจการไหลของเงิน (Money Flow) เป็นหัวใจสำคัญของการลงทุน

เราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกตลาด แต่เราต้องรู้ว่าช่วงนี้ “ตลาดไหนกำลังเป็นพระเอก” และ “ตลาดไหนกำลังถูกเท” เพื่อที่เราจะได้อยู่ฝั่งที่ถูกต้องของเกม หลักการง่ายๆ คือ “อย่าสวนกระแสเงิน” เพราะการสวนกระแสคือการเอาตัวเองไปอยู่ในฝั่งที่ต้องแบกรับแรงกดดัน ในขณะที่การไหลตามเงินคือการใช้แรงของตลาดให้ช่วยพาเราไปข้างหน้า

 

การกระจายความเสี่ยง (Diversification) คือเกราะป้องกัน

แม้เราจะรู้ว่าตอนนี้เงินไหลไปไหน แต่เราไม่มีทางมั่นใจได้ 100% ว่ามันจะอยู่ที่เดิมตลอด การเอาเงินทั้งหมดไปวางในสินทรัพย์เดียวคือการเปิดช่องให้ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวทำลายพอร์ตทั้งก้อน เราจึงต้องกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตสามารถรับมือได้กับทุกสภาพตลาด - บางส่วนอยู่ในสินทรัพย์ที่เติบโตเร็ว บางส่วนอยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัย และบางส่วนถือเป็นเงินสดหรือสินทรัพย์ที่สภาพคล่องสูง เพื่อให้พร้อมโยกตามสถานการณ์ได้ทันที

กราฟราคาคือแผนที่ของกระแสเงิน

หลายคนคิดว่ากราฟคือภาพอดีต แต่ในความจริง กราฟคือการสะท้อนอารมณ์ของนักลงทุนทั่วโลกในเวลาปัจจุบัน ถ้ากราฟกำลังวิ่งขึ้นพร้อมปริมาณซื้อขายที่มากขึ้น แปลว่าเงินกำลังไหลเข้า ถ้ากราฟลงแรงและต่อเนื่องพร้อมปริมาณขายสูง แปลว่าเงินกำลังไหลออก นี่คือสัญญาณที่บอกเราว่า “อย่ายืนผิดฝั่ง” และนี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้กราฟเป็นเข็มทิศในการตัดสินใจ เพราะมันไม่โกหก และมันรวมทุกปัจจัยที่ตลาดรับรู้แล้วไว้ในตัวเลขเพียงตัวเดียว - ราคาปัจจุบัน

 

ตลาดโลกคือสนามของโอกาสที่ไม่มีวันหยุด

วันนี้คุณอาจทำกำไรจากหุ้นเทคในสหรัฐฯ พรุ่งนี้คุณอาจสวิงในทองคำ หรือถือสัญญา TFEX เพื่อเก็งกำไรจากดัชนี SET50 หรือคุณอาจมองคริปโตที่กำลังเป็นเทรนด์ใหญ่ทั่วโลก ตลาดการเงินเปิด 24 ชั่วโมงในหลายสินทรัพย์ ทำให้โอกาสมีอยู่เสมอ แค่คุณต้องรู้ว่าจะล่ามันอย่างไร และจะจัดพอร์ตให้พร้อมรับได้ทุกจังหวะ

 

จิตวิทยานักลงทุน: อย่าให้ความโลภหรือความกลัวเป็นคนขับรถ

การไหลตามเงินฟังดูง่าย แต่ในทางปฏิบัติ เรามักติดกับดักอารมณ์ - กลัวพลาด (FOMO) เลยไล่ตามราคาจนสูงเกินไป หรือกลัวขาดทุนเลยขายทิ้งก่อนที่ตลาดจะกลับตัว ทั้งสองอย่างเกิดจากการไม่มีแผนที่ชัดเจน ดังนั้น การล่าโอกาสต้องทำอย่างมีวินัย มีระบบ มีการจัดการความเสี่ยง และที่สำคัญ ต้องพร้อมปรับตัวทันทีเมื่อสัญญาณเปลี่ยน

ในโลกที่เงินไหลตลอดเวลา การอยู่รอดและเติบโตไม่ได้มาจากการยึดติดสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง แต่มาจากการมองตลาดเป็นภาพใหญ่ เข้าใจว่ากระแสเงินกำลังไหลไปที่ไหน กระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด และใช้กราฟเป็นเข็มทิศนำทางเพื่ออยู่ฝั่งที่ได้เปรียบของเกม นักลงทุนที่ทำได้จะสามารถเก็บทุกเทรนด์เข้าพอร์ตได้ ไม่ว่าตลาดจะไปทางไหน

 

Case Study 1: เงินไหลจากหุ้นสหรัฐฯ สู่ทองคำ (Q4 2023)

ปลายปี 2023 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงกดดันจากดอกเบี้ยของ FED ที่ยังอยู่ในระดับสูง นักลงทุนเริ่มวิตกว่ากำไรบริษัทจะชะลอตัว ดัชนี Nasdaq และ S&P500 เริ่มย่อแรงในเดือนตุลาคม ขณะเดียวกันราคาทองคำ (XAUUSD) พุ่งขึ้นกว่า 12% ในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ เพราะนักลงทุนสถาบันโยกเงินไปหาสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอ การไหลของเงินรอบนี้เห็นชัดในกราฟ - หุ้นลงต่อเนื่อง ปริมาณขายหนาแน่น ในขณะที่ทองคำแทบจะวิ่งขึ้นเป็นเส้นตรงพร้อม Volume สูง การตามกระแสเงินครั้งนี้ ใครที่เข้า Gold Long ตั้งแต่เหนือ $1,850 ก็เก็บกำไรไปได้สบาย

 

Case Study 2: เงินไหลจากดอลลาร์สู่บิทคอยน์ (Q1 2024)

ต้นปี 2024 ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเพราะตลาดเริ่มคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปี เงินสกุลดอลลาร์ที่อ่อนลงทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโตกลับมาดึงดูดนักลงทุน บิทคอยน์ (BTC) พุ่งจาก $27,000 ขึ้นไปแตะ $42,000 ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ปริมาณซื้อขายในตลาด Spot และ Futures พุ่งขึ้นพร้อมกัน การตามรอยกระแสเงินรอบนี้ง่ายมากเพราะสัญญาณมาครบทั้ง Macro (ดอลลาร์อ่อน) และ Technical (กราฟ Breakout พร้อม Volume) เทรดเดอร์ที่เข้าในช่วงย่อแรกๆ เก็บกำไรหลักสิบเปอร์เซ็นต์ได้ไม่ยาก

 

Case Study 3: เงินไหลเข้าสู่หุ้นเทคหลังวิกฤตธนาคาร (Q2 2023)

ช่วงมีนาคม 2023 หลัง Silicon Valley Bank (SVB) ล้ม นักลงทุนตื่นตระหนกและขายหุ้นกลุ่มการเงินออก แต่แทนที่จะออกจากตลาดทั้งหมด เงินจำนวนมากกลับไหลเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Big Tech) เช่น NVDA, MSFT, AAPL เพราะถูกมองว่ามีฐานะการเงินแข็งแรงและได้ประโยชน์จากเทรนด์ AI ดัชนี Nasdaq กระโดดขึ้นกว่า 20% ใน 4 เดือนหลังจากนั้น ในกราฟจะเห็นชัดว่าหุ้นกลุ่มเทควิ่งสวนตลาดในภาพรวม นี่คืออีกตัวอย่างที่การดู “เงินไหลไปไหน” สำคัญกว่าการดูภาพรวมตลาดเพียงอย่างเดียว

 

ถอดบทเรียนจากทั้ง 3 เคส

  1. เงินจะไหลจากสินทรัพย์หนึ่งไปสู่อีกสินทรัพย์หนึ่งเสมอเมื่อมีเหตุผลเพียงพอ (ดอกเบี้ย, ความเสี่ยง, โอกาสเติบโต)
  2. การดูกราฟคู่กับปัจจัยมหภาคช่วยยืนยันทิศทางกระแสเงิน
  3. อย่าสวนกระแสโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน และอย่าถือสินทรัพย์เดียวแบบ All-in
  4. มีแผนจัดพอร์ตที่ยืดหยุ่น เพื่อพร้อมโยกเงินตามโอกาส

และถ้าคุณอยากเรียนรู้วิธีการทั้งหมดนี้แบบ Step-by-Step ตั้งแต่การอ่านกระแสเงิน การวิเคราะห์กราฟ การจัดพอร์ต ไปจนถึงการเทรดในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก ผมกำลังเปิดคอร์ส “All in One ปั้นพอร์ต 8 หลัก” ที่รวบทุกสิ่งที่ผมใช้จริงตลอดเส้นทางการลงทุนกว่า 15 ปี เพื่อให้คุณพร้อมล่าโอกาสทั่วโลก และเก็บทุกเทรนด์เข้าพอร์ตอย่างมั่นใจ