“ตกรถ”หลัง SETทะลุ 1,246 จุด วิเคราะห์ SET : ยังทัน หรือ หมดรอบแล้ว?

06 ส.ค. 2568 | 22:00 น.

“ตกรถ”หลัง SETทะลุ 1,246 จุด วิเคราะห์ SET : ยังทัน หรือ หมดรอบแล้ว? คอลัมน์ SUPER TRADER โดย สุชาวดี เรียบร้อย Super Trader

KEY

POINTS

  • ตลาดหุ้นไม่ใช่สนามที่แพ้ครั้งเดียวแล้วจบ ยังมีโอกาสถัดไปเสมอ ถ้าเรียนรู้จากรอบที่พลาด… รอบหน้าจะได้ “ขึ้นก่อนใคร”
  • พฤติกรรมของรายย่อยวันนี้คือภาพสะท้อนของตลาดที่อิงอารมณ์ แต่โอกาสในรอบถัดไปจะไม่ขึ้นอยู่กับดัชนี แต่อยู่ที่ “คุณมีแผน” หรือยัง 
  • สำหรับคนที่มีแผน แม้รอบนี้จะรู้สึกว่าตกรถ แต่ตลาดไม่เคยวิ่งขึ้นอย่างเดียว การย่อตัวหลัง breakout เป็น “โอกาสซ้อนโอกาส” หากรู้จักรอและกระจายความเสี่ยง

“ตกรถ”หลัง SETทะลุ 1,246 จุด วิเคราะห์ SET : ยังทัน หรือ หมดรอบแล้ว? คอลัมน์ SUPER TRADER โดย สุชาวดี เรียบร้อย Super Trader

 


ในช่วงที่ SET เคลื่อนไหวอย่างอ่อนแรงอยู่นาน หลายคนเลือกที่จะยืนดูอยู่ข้างสนามด้วยความระแวง แต่วันนี้เมื่อดัชนีทะลุแนวต้าน 1,246.96 จุดอย่างมั่นคง กลับกลายเป็นเสียงบ่นจากนักลงทุนจำนวนมากที่รู้ตัวว่า… "ตกรถ"

การรอให้ "ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยซื้อ" อาจไม่ได้ผลเสมอไปในตลาดหุ้น 
 

“เสียดาย...แต่ไม่กล้าไล่ราคา”

เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยในกลุ่มนักลงทุนรายย่อย เมื่อ SET Index ค่อย ๆ ฟื้นตัวจากแนวรับ1200 กลับมายืนเหนือระดับ 1,246.96 จุดอีกครั้ง-ระดับที่เคยถูกมองว่าเป็นแนวต้านสำคัญในช่วงก่อนหน้านี้ ตลาดซึมยาวหลายเดือน จากความกลัวในช่วงดัชนีลงลึก สู่ความเสียดายที่ไม่ได้เข้าทันเมื่อสัญญาณกลับตัวเริ่มชัดเจน นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง "ตกรถ" ในรอบการฟื้นตัวของ SET
 

แต่คำถามคือ "ตกจริงหรือยังมีรถขบวนใหม่?"

บทความนี้จะพาไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในตลาดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมรายย่อยสะท้อนอะไร และโอกาสในรอบถัดไปจะมีหน้าตาแบบไหน...

วันนี้เราจะมีวิเคราะห์ทีละประเด็นกันค่ะ

 

พฤติกรรมรายย่อยสะท้อนอะไร?

1. กลัวการ “เจ็บซ้ำ” มากกว่าพลาดโอกาส
นักลงทุนรายย่อยมักชะลอการลงทุนหลังผ่านช่วงตลาดขาลงแรง เมื่อ SET เคยหลุดต่ำกว่า 1,200 จุด หลายคนเลือก “พักพอร์ต” และเมื่อเริ่มฟื้น… ก็ยังไม่กล้าซื้อ เพราะกลัวว่าจะเป็น "Bull Trap"

สะท้อนให้เห็นว่า:

  • ส่วนมากใช้ “อารมณ์” เป็นตัวนำ มากกว่าข้อมูลพื้นฐาน
  • จิตวิทยาแบบ Loss Aversion (กลัวขาดทุนมากกว่าชอบกำไร) ทำให้พลาดโอกาสต้นรอบเสมอ
     

2. รอความมั่นใจ… แต่มั่นใจเมื่อมันแพง

นักลงทุนหลายคนบอกว่า "ขอดูให้แน่ใจก่อนค่อยซื้อ"
แต่เมื่อแน่ใจจริง ๆ เช่น ตลาดยืนได้เกิน 1,250 หรือหุ้นขึ้นมาแล้ว 10-20% จึงเริ่มเข้าซื้อ – ทำให้ได้ราคาสูง ไม่คุ้มเสี่ยง

สะท้อนได้ว่า:

  • “ความมั่นใจ” มักมาเมื่อราคาสูงเกินมูลค่าจริงแล้ว
  • รายย่อยจึงมักกลายเป็น “แรงซื้อสุดท้าย” (Late Buyer)


3. ตามกระแสเร็ว แต่ไม่รู้จักจุดออก
เมื่อเริ่มเห็นข่าวดี หุ้นบางกลุ่มวิ่ง รายย่อยอาจเริ่มแห่เข้าซื้อ แต่พอมีการปรับฐานเล็กน้อยก็ตกใจขายทันที หรือบางครั้งกลับถือลากยาวจนขาดทุนหนัก

สะท้อนได้ว่า:

  • การไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน เช่น Entry/Exit point
  • ยังขาดวินัยและความเข้าใจในความเสี่ยงรายตัว

 

โอกาสในรอบถัดไป จะมีหน้าตาอย่างไร?

1. ยังมี “รถคันถัดไป” เสมอ 

สำหรับคนที่มีแผน แม้รอบนี้จะรู้สึกว่าตกรถ แต่ตลาดไม่เคยวิ่งขึ้นอย่างเดียว การย่อตัวหลัง breakout เป็น “โอกาสซ้อนโอกาส” หากรู้จักรอและกระจายความเสี่ยง

  • กลยุทธ์: DCA, Selective Buy, รอแนวรับสำคัญของหุ้น Laggard

2. กลุ่ม Laggard ยังไม่ไปไหน

กลุ่มหุ้นหลายตัวใน SET ยัง “ไม่ขึ้นแรง” เช่น พลังงาน, ปิโตรเคมี, ธนาคารบางตัว หรือ REITs

  • โอกาสอยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ถูกพูดถึงมาก
  • เน้นหุ้นที่ PE ต่ำ, Dividend สูง, งบ Q2 ดี

3. ความรู้ และข้อมูล คืออาวุธในตลาดฟื้น
รอบขาขึ้นคือช่วงที่ความรู้มีมูลค่าสูงมาก ใครที่มีระบบกรองหุ้น มีแผนเทรด มีการประเมินมูลค่าหุ้น - จะ “ขึ้นรถขบวนใหม่” ได้อย่างมีคุณภาพ

  • โอกาส = ไม่ใช่แค่หุ้นขึ้น แต่คือเราขึ้นให้ถูกคัน

 

คำถามที่พบบ่อย แล้วตอนนี้…ยังทันอยู่ไหม?

ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน หลัง SET Index ทะลุผ่านระดับ 1,246.96 จุด ซึ่งถูกจับตามองว่าทะลุแนวต้านเชิงจิตวิทยาสำคัญมาตั้งแต่โซน1230

ในขณะที่นักลงทุนสถาบันและต่างชาติเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง นักลงทุนรายย่อยจำนวนไม่น้อยกลับยังลังเล ไม่กล้า “ไล่ราคา” เพราะภาพความกลัวในช่วงตลาดปรับฐานยังไม่หายไป และเมื่อตลาดยืนได้จริง… ความรู้สึกเสียดายก็เริ่มไหลมาแทน

บทความนี้จะพาคุณวิเคราะห์สถานการณ์จริงในตลาดตอนนี้

  • SET ยืนเหนือแนวต้านแล้ว “ตกรถ” จริงไหม
  • ยังมี “ขบวนใหม่” ให้นั่งอยู่หรือเปล่า
  • และจะปรับพอร์ตอย่างไร หากคุณยังไม่ได้ซื้อหุ้นเลยตั้งแต่ต้นปี

1. บริบทของตลาดไทยช่วง Q2–Q3 ปี 2025

  • ภาพรวมเศรษฐกิจ: GDP, เงินเฟ้อ, ดอกเบี้ย
  • ปัจจัยต่างประเทศ: FED, นโยบายสหรัฐ, เงินบาท
  • นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาเมื่อไหร่?
  • กองทุนในประเทศเริ่มสะสมตั้งแต่จุดไหน?

2. SET ยืนเหนือ 1,246 จุด = สัญญาณฟื้นตัวจริงหรือหลอก?

  • วิเคราะห์เชิงเทคนิค: การ Break แนวต้านสำคัญ
  • Volume & Sector อะไรที่ขับเคลื่อนดัชนี
  • เปรียบเทียบกับรอบฟื้นตัวในอดีต (เช่น ปี 2020 หลัง COVID crash)

3. พฤติกรรม "ตกรถ" ของรายย่อย: ทำไมเราชอบซื้อแพง-ขายถูก

  • พฤติกรรม Herding / Fear / Overconfirmation
  • ความลังเลเพราะภาพความกลัวเดิมฝังใจ
  • ข้อมูลสถิติ: สัดส่วนการถือครองรายย่อยช่วงตลาดลง vs ตลาดขึ้น

4. ตกรถจริงไหม? หรือยังมี "ขบวนใหม่" รออยู่

  • มุมมองจาก P/E / Valuation ณ จุดนี้
  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยัง Laggard และราคายังไม่วิ่ง
  • กลยุทธ์ DCA / Selective Buy สำหรับคนเริ่มช้า

5. กลยุทธ์รับมือและการปรับพอร์ต

  • จิตวิทยาการลงทุน: ตั้งสติเมื่อรู้ตัวว่าตกรถ
  • กลยุทธ์ที่เหมาะ: Tiered Entry, หุ้นปันผล, หุ้นกลุ่ม PE ต่ำ
  • กลุ่มหุ้นน่าสนใจตอนนี้ เช่น พลังงาน, ธนาคาร, ส่งออก, Laggard

6. สรุป: “รถคันถัดไป” มีเสมอ สำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้

  • ตลาดหุ้นไม่ใช่สนามที่แพ้ครั้งเดียวแล้วจบ ยังมีโอกาสถัดไปเสมอ
  • ถ้าเรียนรู้จากรอบที่พลาด… รอบหน้าจะได้ “ขึ้นก่อนใคร”
     

สรุป

พฤติกรรมของรายย่อยวันนี้คือภาพสะท้อนของตลาดที่อิงอารมณ์ แต่โอกาสในรอบถัดไปจะไม่ขึ้นอยู่กับดัชนี หรือ ข่าวโดยตรง …แต่อยู่ที่ “คุณมีแผน” หรือยัง ในขณะที่หุ้นหลายๆตัวทำราคาไปแล้ว เราสมารถรอจังหวะย่อซื้อ หรือมีแผนในรอบการย่อถัดไปยังไงมากกว่า