KEY
POINTS
ก่อนสิ้นสุดเส้นตาย 1 สิงหาคม 2025 ไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ในรอบที่สอง (6 กรกฎาคม) เพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จากอัตรา 36% ลง โดยมีเงื่อนไขเปิดตลาดให้อเมริกาเพิ่ม เช่น สินค้าเกษตร พลังงาน และเครื่องบิน ซึ่งมีเป้าหมายลดดุลการค้าระหว่างกันราว 70% ใน 5 ปี และคืนสมดุลภายใน 7-8 ปี
เงื่อนไข ความเสี่ยง / ผลกระทบต่อไทย
โดยสรุป ไทยยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะจบเจรจาด้วยอัตราภาษี ต่ำกว่า 20% ซึ่งตรงกับข้อเสนอที่หลายฝ่ายคาดหวังว่า "ขอไม่เกินเวียดนาม" (~20 %) หรือ “~18%” เป็นเป้าหมายอุดมคติ
แนวโน้มหุ้นที่ “กระทบตรง” ในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 วันที่อาจเริ่มมีผลบังคับใช้ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (ตามที่เคยประกาศไว้ในกรณี worst‑case 36%) มีดังนี้
1. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (Industrial Estate Operators)
ธนาคารมองว่ามาตรการภาษีตอบโต้อาจลดดีมานด์ซื้อที่ดินอุตสาหกรรมลง 3 - 60% และ FDI ลดลงราว 30 ‑ 60% ส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มนิคมฯ เช่น WHA, AMATA, IRPC และ related players
2. กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
แม้ส่งออกเข้า U.S. ไม่สูงมาก แต่หากคู่แข่งเผชิญภาษีขยับ ไทยอาจโดน oversupply ในอาเซียน ราคาน้ำมัน/ปิโตรเคมีปรับลด → หุ้นพลังงาน + ปิโตรเคมีอาจอ่อนแรง (PTT, TOP, PTTGC เป็นต้น)
3. กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์
หากสหรัฐขยับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ (อาจเกิดในช่วง 3 - 6 เดือนหลัง) อนาคตธุรกิจ Data Center และไลน์ผลิตสายชิปในไทยถูกกดดัน → กำไรลดลง 9 - 12% ในช่วงปี 2025‑27 (หุ้น เช่น HANA, SVI, SAMART, KCE)
4. กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน
มาตรการภาษี (เช่น 25% บนยานยนต์และชิ้นส่วนจาก U.S.) อาจกดดันห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและส่งออกชิ้นส่วนลดโมเมนตัม (เช่น SAT, MINT ORN)
5. กลุ่มสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารกระป๋อง (Food & Agro Exports)
บริษัทอย่าง ITC และ TU ที่มีรายได้จากสหรัฐฯ ราว 50% และ 39% (ส่วนใหญ่จากอาหารสัตว์เลี้ยงและทูน่า) เผชิญความเสี่ยงสูง หากภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น → รายได้ถูกกระทบโดยตรง ส่วน CPF และ GP มี exposure ต่ำกว่าเพราะโฟกัสตลาด domestic และสัตว์บก ซึ่งผลกระทบต่ำกว่า
**SET Index น่าจะมีแรงกดดันจาก sentiment วิตกภาษี 36%**
หุ้นกลุ่มนิคมฯ, พลังงาน, อิเล็กทรอนิกส์, อาหารสัตว์เลี้ยง/ปิโตรเคมี ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯหรือ supply chain global มีแนวโน้มเคลื่อนไหวลงแรงในวันแรก
อีกทางเลือกคือโฟกัส หุ้น Defensive หรือ High‑Yield เช่น SCB, BBL, อสังหาในประเทศ หรือหุ้นที่จับตลาดในไทยมากกว่า ส่งเงินปันผลชัวร์ (เน้น Domestic play เป็นหลัก)