เจรจาภาษีไทย - สหรัฐฯ พร้อมกลุ่มหุ้นเสี่ยงเผชิญแรงซื้อขายแรง

30 ก.ค. 2568 | 22:00 น.

เจรจาภาษีไทย - สหรัฐฯ พร้อมกลุ่มหุ้นเสี่ยงเผชิญแรงซื้อขายแรง คอลัมน์ SUPER TRADER โดย วัชรพล นุชสมบัติ Super Trader

KEY

POINTS

  • ไทยยื่นข้อเสนอใหม่ต่อสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าจาก 36% โดยแลกกับการเปิดตลาดสินค้าใหม่ หวังลดดุลการค้า 70% ภายใน 5 ปี
  • หากเจรจาสำเร็จในอัตราภาษีต่ำกว่า 20% ตลาดหุ้นมีโอกาสรีบาวด์ชัดเจน แต่หากตกลงไม่ได้และโดนจัดเก็บภาษี 36% GDP ไทยปี 2568 อาจเติบโตเพียง 1.1%
  • หุ้นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอาหารสัตว์เลี้ยง ควรติดตามความเคลื่อนไหววันที่ 1 ส.ค. เป็นพิเศษ
     

เจรจาภาษีไทย - สหรัฐฯ พร้อมกลุ่มหุ้นเสี่ยงเผชิญแรงซื้อขายแรง คอลัมน์ SUPER TRADER โดย วัชรพล นุชสมบัติ Super Trader

 

ก่อนสิ้นสุดเส้นตาย 1 สิงหาคม 2025 ไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ในรอบที่สอง (6 กรกฎาคม) เพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จากอัตรา 36% ลง โดยมีเงื่อนไขเปิดตลาดให้อเมริกาเพิ่ม เช่น สินค้าเกษตร พลังงาน และเครื่องบิน ซึ่งมีเป้าหมายลดดุลการค้าระหว่างกันราว 70% ใน 5 ปี และคืนสมดุลภายใน 7-8 ปี  
 

ภาพรวมแนวโน้มเจรจา

เงื่อนไข ความเสี่ยง / ผลกระทบต่อไทย

  • ต่ำกว่า 20% อยู่ในระดับแข่งขัน แถม SET มีโอกาสฟื้น หากต่ำกว่า 18% sentiment ตลาดจะเด้งชัดเจน
  • 20 - 23% ยังยอมรับได้ ไม่ต่างจากเวียดนาม/อินโดฯ GDP เลขโตสัก  - 1.5%
  • 25% เริ่มมีช่องว่าง ภาพรวมเศรษฐกิจโตช้าหรือ stall ที่ ~1.2 - 1.5%
  • 36% Worst-case scenario → เสี่ยง GDP โตต่ำสุด ~1.1% (ปี 2568) ตลาดหุ้นอาจดิ่งถึง SET = 1,060 จุด


โดยสรุป ไทยยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะจบเจรจาด้วยอัตราภาษี ต่ำกว่า 20% ซึ่งตรงกับข้อเสนอที่หลายฝ่ายคาดหวังว่า "ขอไม่เกินเวียดนาม" (~20 %) หรือ “~18%” เป็นเป้าหมายอุดมคติ  

แนวโน้มหุ้นที่ “กระทบตรง” ในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 วันที่อาจเริ่มมีผลบังคับใช้ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (ตามที่เคยประกาศไว้ในกรณี worst‑case 36%) มีดังนี้
 

กลุ่มหุ้นเสี่ยงเผชิญแรงซื้อขายแรง:

1. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (Industrial Estate Operators)

ธนาคารมองว่ามาตรการภาษีตอบโต้อาจลดดีมานด์ซื้อที่ดินอุตสาหกรรมลง 3 - 60% และ FDI ลดลงราว 30 ‑ 60% ส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มนิคมฯ เช่น WHA, AMATA, IRPC และ related players  

2. กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

แม้ส่งออกเข้า U.S. ไม่สูงมาก แต่หากคู่แข่งเผชิญภาษีขยับ ไทยอาจโดน oversupply ในอาเซียน ราคาน้ำมัน/ปิโตรเคมีปรับลด → หุ้นพลังงาน + ปิโตรเคมีอาจอ่อนแรง (PTT, TOP, PTTGC เป็นต้น)  

3. กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์

หากสหรัฐขยับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ (อาจเกิดในช่วง 3 - 6 เดือนหลัง) อนาคตธุรกิจ Data Center และไลน์ผลิตสายชิปในไทยถูกกดดัน → กำไรลดลง 9 - 12% ในช่วงปี 2025‑27 (หุ้น เช่น HANA, SVI, SAMART, KCE)  

4. กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน

มาตรการภาษี (เช่น 25% บนยานยนต์และชิ้นส่วนจาก U.S.) อาจกดดันห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและส่งออกชิ้นส่วนลดโมเมนตัม (เช่น SAT, MINT ORN)  

5. กลุ่มสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารกระป๋อง (Food & Agro Exports)

บริษัทอย่าง ITC และ TU ที่มีรายได้จากสหรัฐฯ ราว 50% และ 39% (ส่วนใหญ่จากอาหารสัตว์เลี้ยงและทูน่า) เผชิญความเสี่ยงสูง หากภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น → รายได้ถูกกระทบโดยตรง ส่วน CPF และ GP มี exposure ต่ำกว่าเพราะโฟกัสตลาด domestic และสัตว์บก ซึ่งผลกระทบต่ำกว่า  

ผลกระทบระยะสั้นทันที → วันที่ 1 ส.ค.

**SET Index น่าจะมีแรงกดดันจาก sentiment วิตกภาษี 36%**

หุ้นกลุ่มนิคมฯ, พลังงาน, อิเล็กทรอนิกส์, อาหารสัตว์เลี้ยง/ปิโตรเคมี ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯหรือ supply chain global มีแนวโน้มเคลื่อนไหวลงแรงในวันแรก

อีกทางเลือกคือโฟกัส หุ้น Defensive หรือ High‑Yield เช่น SCB, BBL, อสังหาในประเทศ หรือหุ้นที่จับตลาดในไทยมากกว่า ส่งเงินปันผลชัวร์ (เน้น Domestic play เป็นหลัก)