KEY
POINTS
ตลาดหุ้นไทยที่ 1161 จุด ถือเป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเข้าซื้อจะต้องมาพร้อมกับการพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในเรื่องปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว การบริหารความเสี่ยง และการทยอยลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
เมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาซื้อขายกันในระดับ 1161 จุด ซึ่งรีบาวน์ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดที่ระดับ 1053 จุด หรือ ขึ้นมาประมาณ 108 จุด จากปลายเดือนที่แล้ว คำถามสำคัญที่นักลงทุนหลายคนตั้งคำถามคือ "ตลาดขึ้นมาขนาดนี้ ซื้อได้หรือยัง?" จุดนี้ถือเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำในรอบหลายปี สะท้อนถึงสภาวะตลาดที่ยังไม่แน่นอน และยังมีปัจจัยกดดันอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ ลองมาดูกันว่ามุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่ 1161 จุด เป็นอย่างไร และมีข้อควรพิจารณาอะไรบ้าง
การตัดสินใจว่าจะเข้าซื้อหุ้นในระดับ 1161 จุด หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างและระดับความเสี่ยงที่แต่ละบุคคลยอมรับได้ ลองพิจารณาประเด็นเหล่านี้
1. ศึกษาปัจจัยพื้นฐานของบริษัท : อย่าเพิ่งรีบร้อนเข้าซื้อหุ้นทุกตัวที่ราคาตกลงมา ให้เน้นการคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีผลประกอบการที่ดี มีกระแสเงินสดมั่นคง และมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
2. ทยอยซื้อ (Dollar-Cost Averaging) : แทนที่จะทุ่มเงินทั้งหมดในคราวเดียว ควรใช้วิธีทยอยซื้อเป็นงวดๆ เพื่อเฉลี่ยต้นทุน การทำเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงหากตลาดปรับตัวลงไปอีก และยังช่วยให้คุณได้ซื้อหุ้นในราคาที่แตกต่างกันไป
3. ติดตามข่าวสารและแนวโน้ม : แม้ตลาดจะลงมาต่ำแล้ว แต่สถานการณ์ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ควรติดตามข่าวสารทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแนวโน้มเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และสถานการณ์การเมือง
4. กระจายความเสี่ยง : ไม่ควรนำเงินลงทุนทั้งหมดไปลงในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ควรกระจายการลงทุนไปยังหุ้นหลายกลุ่มอุตสาหกรรม หรือสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยง
การที่ดัชนีขึ้นมาแตะระดับ 1161 จุด ยังคงบ่งบอกถึงสภาวะ "ตลาดหมี" (Bear Market) ที่ค่อนข้างชัดเจน ตลาดยังอยู่ในขาลง เพียงแต่รอบนี้ตลาดรีบาวน์ขึ้นมาให้นักลงทุนได้พอสบายใจขึ้นบ้าง แม้แต่สายเทรดเก็งกำไรก็มีโอกาสทำกำไรในรอบรีบาวน์ได้ เพียงแต่จะรีบาวน์ผ่านกลับมาเป็นรอบขาขึ้นรอบใหม่ได้ ยังคงต้องใช้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลต่อปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ซึ่งรวมถึง สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เงินฝืด ความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา สงครามอิสราเอล-อิหร่าน และ ประเด็นภาษีการค้า 36% ที่นักลงทุนอย่างเราต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ตามสภาวะตลาด ทั้งปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอกเพื่อที่จะได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนได้เหมาะสม