วิธีการเอาชนะ ความโลภและ ความกลัว ในตลาดลงทุน คอลัมน์ SUPER TRADER โดย สุชาวดี เรียบร้อย Super Trader
ช่วงนี้หลายๆ คนอาจจะพบปัญหา การเทรดในสภาวะที่ตลาดผันผวนมาก วันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับอารมณ์ในขณะเทรดกันนะคะว่ามีอะไรบ้าง
ความโลภและความกลัวเป็นอารมณ์หลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน และมักทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด เช่น ซื้อหุ้นในราคาสูงเพราะกลัวพลาดโอกาส (FOMO) หรือขายขาดทุนเพราะตื่นตระหนกในภาวะตลาดขาลง การเอาชนะสองอารมณ์นี้ต้องอาศัยการฝึกฝนวินัยและการมีระบบในการลงทุน
วิธีเอาชนะ ความโลภ (Greed)
1. ตั้งเป้าหมายกำไรที่ชัดเจน
- กำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) ไว้ล่วงหน้า และปฏิบัติตามอย่างมีวินัย
- อย่าโลภเกินไปจนรอให้ราคาขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีแผน
2. ใช้กลยุทธ์การทยอยขาย
- ขายบางส่วนเมื่อได้กำไรตามเป้า เพื่อลดความเสี่ยง
- วิธีนี้ช่วยให้คุณล็อกกำไรบางส่วน และยังสามารถถือครองส่วนที่เหลือต่อไปได้
3. หลีกเลี่ยง FOMO (Fear of Missing Out)
- อย่าซื้อหุ้นเพียงเพราะราคากำลังขึ้นแรงหรือมีข่าวดี
- ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนลงทุนเสมอ
4. มีแผนการลงทุนระยะยาว
- นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนและทำตามแผน
- อย่าตัดสินใจจากอารมณ์เพียงชั่วขณะ
วิธีเอาชนะ ความกลัว (Fear)
1. ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
- กำหนดระดับขาดทุนที่รับได้ และขายออกเมื่อถึงจุดนั้น
- ช่วยลดความเสี่ยงจากการถือหุ้นขาดทุนเป็นเวลานาน
2. มองตลาดในระยะยาว
- ความผันผวนเป็นเรื่องปกติของตลาด
- อย่าตื่นตระหนกกับการปรับฐานในระยะสั้น หากพื้นฐานของสินทรัพย์ยังดี
3. กระจายความเสี่ยง (Diversification)
- ไม่ลงเงินทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว
- การกระจายพอร์ตช่วยลดโอกาสขาดทุนหนักจากการผิดพลาดเพียงครั้งเดียว
4. ใช้ข้อมูลแทนอารมณ์
- ตัดสินใจลงทุนบนพื้นฐานของข้อมูล เช่น งบการเงิน, ข่าวเศรษฐกิจ, และแนวโน้มอุตสาหกรรม
- หลีกเลี่ยงการซื้อ-ขายจากข่าวลือหรืออารมณ์ตลาด
5. ฝึกความมั่นคงทางอารมณ์
- การฝึกสมาธิ, การออกกำลังกาย, หรือการมีที่ปรึกษาการลงทุนที่ดี สามารถช่วยให้ตัดสินใจอย่างมีเหตุผลมากขึ้น
สรุปข้างต้น
- ควบคุมความโลภด้วยการตั้งเป้าหมายกำไร, ใช้กลยุทธ์ทยอยขาย, และหลีกเลี่ยงการลงทุนตามกระแส
- ควบคุมความกลัวด้วยการตั้งจุดตัดขาดทุน, มองตลาดในระยะยาว, กระจายพอร์ต, และใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ
- มีระบบการลงทุนที่ชัดเจนและทำตามแผนอย่างมีวินัย เพื่อให้สามารถรับมือกับอารมณ์ทั้งสองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับนักลงทุน อะไรที่เป็นปัจจัยกดดันการตัดสินใจผิดพลาด
แบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลัก เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ และ ควบคุมไม่ได้
ปัจจัยภายใน (มาจากตัวนักลงทุนเอง) ควบคุมได้
1. อารมณ์ความรู้สึก (Emotional Bias)
- ความโลภ (Greed): ทำให้ไล่ซื้อตามกระแส (FOMO) หรือถือสินทรัพย์ไว้นานเกินไปแม้เริ่มมีสัญญาณว่าควรขาย
- ความกลัว (Fear): ทำให้ขายหุ้นเร็วเกินไป หรือหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีโอกาสเพราะกลัวขาดทุน
- ความมั่นใจเกินไป (Overconfidence): คิดว่าตัวเองเก่งกว่าตลาด นำไปสู่การลงทุนโดยไม่ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ
2. การยึดติดกับต้นทุนเดิม (Anchoring Bias)
- นักลงทุนมักยึดติดกับราคาที่เคยซื้อ เช่น ถ้าซื้อหุ้นที่ราคา 100 บาท แล้วมันตกลงเหลือ 80 บาท อาจปฏิเสธที่จะขายเพราะไม่อยากขาดทุน ทั้งที่แนวโน้มอาจแย่ลงอีก
3. การยืนยันความเชื่อเดิม (Confirmation Bias)
- เลือกหาข้อมูลที่สนับสนุนความคิดของตัวเอง และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
- ทำให้เกิดการมองโลกในแง่ดีเกินไป หรือประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง
4. การตัดสินใจตามคนส่วนใหญ่ (Herd Mentality)
- ซื้อหุ้นเพราะเห็นคนอื่นซื้อ หรือขายเพราะคนอื่นขาย โดยไม่ได้วิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง
5. ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO - Fear of Missing Out)
- ทำให้รีบเข้าซื้อสินทรัพย์ที่กำลังขึ้นแรง โดยไม่ได้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น หุ้นที่พุ่งแรงเพราะข่าวลือ
ปัจจัยภายนอก (มาจากสภาพตลาดและสิ่งแวดล้อม) ควบคุมไม่ได้
1. ข่าวสารและสื่อ (News & Media Influence)
2. ความผันผวนของตลาด (Market Volatility)
- ตลาดหุ้นสามารถผันผวนได้ตามปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve), วิกฤตเศรษฐกิจ, หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน (เช่น สงครามหรือโรคระบาด)
- นักลงทุนที่ไม่เตรียมตัวอาจตัดสินใจผิดพลาด เช่น เทขายตอนตลาดตกแรง ทั้งที่อาจเป็นโอกาสซื้อ
3. ดอกเบี้ยและสภาพคล่อง (Interest Rates & Liquidity)
- อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ต้นทุนการลงทุนสูงขึ้น ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นถูกขายออก
- สภาพคล่องในตลาดต่ำอาจทำให้การซื้อ-ขายทำได้ยาก และต้องยอมขายในราคาที่ต่ำ
4. แรงกดดันทางสังคม (Social & Peer Pressure)
- นักลงทุนมือใหม่มักได้รับคำแนะนำจากเพื่อนหรือกลุ่มในโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
- ความต้องการให้คนอื่นยอมรับ อาจทำให้ตัดสินใจตามกลุ่มมากกว่าตามเหตุผล
5. การใช้เครื่องมือการลงทุนผิดพลาด
- การใช้ Leverage หรือการกู้เงินเพื่อเทรดโดยไม่มีแผนสำรอง อาจนำไปสู่การขาดทุนหนัก
- การไม่เข้าใจผลิตภัณฑ์การเงิน เช่น Options หรือ Futures อาจทำให้เสี่ยงเกินไป
สรุป
ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดมาจาก อารมณ์, แรงกดดันจากสังคม, ข่าวสาร, ความผันผวนของตลาด, และการใช้เครื่องมือทางการเงินโดยไม่เข้าใจ วิธีป้องกันคือ มีแผนการลงทุนที่ดี, ควบคุมอารมณ์, ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ และกระจายความเสี่ยง
ทุกคนเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุนบ้างไหม?
อีกข้อนึงที่เป็นกันบ่อยๆ Overtrade
การเทรดแบบ Overtrade คืออะไร?
Overtrade หมายถึงการซื้อขายสินทรัพย์มากเกินไปเมื่อเทียบกับเงินทุนที่มีอยู่ หรือการเข้าเทรดถี่เกินไปโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดทุนและการหมดตัวเร็วกว่าปกติ
สาเหตุของ Overtrade
1. ความโลภ (Greed)
2. ความมั่นใจเกินไป (Overconfidence Bias)
- คิดว่าตัวเองเก่งกว่าตลาด หรือสามารถจับจังหวะได้แม่นยำ
- มั่นใจในสัญญาณทางเทคนิคหรือกลยุทธ์จนละเลยความเสี่ยง
3. การแก้แค้นตลาด (Revenge Trading)
- เทรดหนักขึ้นหลังจากขาดทุน เพื่อพยายามเอาทุนคืน
- มักทำให้ขาดทุนมากขึ้นเพราะเทรดโดยใช้อารมณ์
4. ความเครียดและอารมณ์ (Emotional Trading)
- เทรดเพราะรู้สึกกดดัน หรือไม่อยากพลาดโอกาส (FOMO)
- ทำให้เข้าออเดอร์มากเกินไปโดยไม่มีแผนรองรับ
5. การใช้ Leverage สูงเกินไป
- ใช้ Margin เยอะเพื่อเปิดสถานะมากขึ้นโดยหวังผลกำไรมากขึ้น
- เสี่ยงต่อการถูกบังคับปิดสถานะ (Margin Call)
6. การเข้าใจผิดเกี่ยวกับความผันผวนของตลาด
- เทรดมากขึ้นเพราะคิดว่าตลาดมีโอกาสทำกำไรสูง โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง
ผลเสียของ Overtrade
1. หมดตัวเร็วขึ้น
- การเทรดบ่อย ๆ โดยไม่มีแผนทำให้พอร์ตลดลงเร็วขึ้น
2. ความเครียดและความกดดันสูง
- เทรดมากเกินไปทำให้เกิดความเครียด และอาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
3. ค่าธรรมเนียมการเทรดเพิ่มขึ้น
- ค่าคอมมิชชั่น, Spread, และค่า Swap อาจกินกำไรไปมากกว่าที่คิด
4. การตัดสินใจแย่ลง
- เมื่อเทรดมากไป อาจพลาดการวิเคราะห์ตลาดที่ดี และเลือกจังหวะเข้าออกที่แย่
5. ขาดทุนสะสมโดยไม่รู้ตัว
- เคยมั้ยเมื่อเทรดบ่อยเกินไป อาจไม่ได้สังเกตว่ากำลังเสียเงินเรื่อย ๆ วันนี้มีทริคมาแบ่งปันค่ะ มองหาวิธีป้องกันความเสี่ยง
วิธีป้องกัน Overtrade
1. มีแผนการเทรด (Trading Plan)
- กำหนดจำนวนครั้งในการเทรดต่อวันหรือต่อสัปดาห์
- มีเป้าหมายกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
2. ใช้ความเสี่ยงที่เหมาะสม (Risk Management)
- ลงทุนแต่พอดี เช่น ใช้ความเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตต่อออเดอร์
- อย่าใช้ Leverage เกินตัว
3. ควบคุมอารมณ์ (Emotional Control)
- ฝึกมีวินัย ไม่เทรดเพราะอารมณ์หรือความโลภ
- ถ้ารู้สึกเครียดหรือกดดัน ให้หยุดพักก่อนตัดสินใจเทรด
4. ลดจำนวนการเทรดลง
- เลือกเฉพาะออเดอร์ที่มีโอกาสดีจริง ๆ เท่านั้น
- อย่าเทรดแค่เพราะอยาก "ทำอะไรสักอย่าง"
5. บันทึกการเทรด (Trading Journal)
- จดบันทึกทุกออเดอร์ เพื่อดูว่าทำไมได้กำไรหรือขาดทุน
- ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมและปรับปรุงกลยุทธ์
สรุป
Overtrade เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้นักเทรดล้างพอร์ต เพราะเกิดจากความโลภ, ความมั่นใจเกินไป และการใช้อารมณ์ในการเทรด วิธีแก้ไขคือต้องมี วินัย, แผนการเทรดที่ดี, การบริหารความเสี่ยง, และการควบคุมอารมณ์
สุดท้ายต้องย้อนกลับมามองที่จุดเริ่มต้นเสมอ นั่นคือ Trade Setup เนื้อหาครั้งถัดไปจะมาพูดถึงประเด็นการสร้าง Trade Setup กันค่ะ