KEY
POINTS
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "ตลาดทุนขับเคลื่อนด้วยรายใหญ่" ซึ่งเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ หุ้นจะขึ้นหรือลง ส่วนใหญ่แล้วขึ้นอยู่กับ "วอลุ่มซื้อ-ขายที่มีนัยสำคัญ" ของนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ใช่รายย่อยอย่างเราๆ
เคยมีคำถามที่ถูกถามโค้ชท่านหนึ่งว่า "ทำไมวันนี้หุ้นลง?" โค้ชคนนั้นตอบสั้นๆ ว่า "ก็เพราะมีคนขาย" แน่นอนว่าคำตอบนี้อาจฟังดูไม่พอใจ แต่สิ่งที่โค้ชไม่ได้ลงลึกก็คือ "ใครคือคนขาย" และ "ปริมาณการขายนั้นมีผลแค่ไหน" หากเป็นการขายของรายใหญ่ที่มีวอลุ่มมหาศาล ย่อมส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งต่างจากการขายของรายย่อยรวมกัน
โดยเฉพาะใน ตลาดหุ้นขนาดเล็ก อย่างหุ้นไทย การที่นักลงทุนรายใหญ่จะเข้ามาควบคุมราคาหุ้นชั่วคราวเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากนัก เพราะใช้เงินลงทุนไม่มากนักก็สามารถสร้างการเคลื่อนไหวของราคาที่ "ไม่เป็นธรรมชาติ" ได้ ทำให้รายย่อยที่อาศัยเพียง "เทคนิค" ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงสถิติและความน่าจะเป็น มักจะตกเป็นเหยื่อของการ "ตบหลุด ทุบแช่ เบรคหลอก" อยู่บ่อยครั้ง
ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นนอก เช่น หุ้นอเมริกาหรือหุ้นจีน แม้แต่หุ้นตัวเล็กๆ ก็ยังมี Market Cap ที่ใหญ่ระดับท็อปๆ ของไทย ทำให้มี สภาพคล่องสูง การที่รายใหญ่จะเข้ามาเก็บหุ้นเพื่อทำราคาต้องใช้เงินมหาศาล และการเล่นสั้นๆ เป็นไปได้ยากกว่ามาก นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดเหล่านี้จึงมักจะ "เล่นในกรอบที่กว้าง เก็บนาน และลากไกล"
ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนที่ของราคาในตลาดหุ้นต่างประเทศจึงมัก "เป็นธรรมชาติมากกว่า" ทำให้เราสามารถอ่านทิศทาง (Direction) และรอบของตลาด (Market Stage) ได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นช่วง สะสม, ทำราคา, หรือกระจายของ ซึ่งสัญญาณเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนจาก "โครงสร้างราคาและวอลุ่ม"
หน้าที่ของเราในฐานะนักลงทุน จึงไม่ใช่การพยายาม "เดา" หรือ "ต้านทาน" การเคลื่อนไหวของรายใหญ่ แต่คือการ "ปรับตัวและตามให้ทัน" ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนสำคัญ
รอ : ให้รายใหญ่เก็บหุ้นจนอิ่มตัว
เข้า : เข้าเก็บหุ้นพร้อมรายใหญ่ในช่วงสุดท้าย ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น
ถือ : ถือหุ้นไปตามการเคลื่อนไหวของรายใหญ่
ออก : เมื่อสังเกตเห็นสัญญาณว่ารายใหญ่เริ่มออก ก็เตรียมตัวออกตาม
วนซ้ำ : หาโอกาสใหม่ๆ และทำซ้ำวงจรเดิม
ในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมา ผมและนักเรียนที่มาเรียนการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในหุ้น Xiaomi, Popmart, Robinhood, Hims, Affirm, Roblox, SE หรือแม้แต่ TFEX และทองคำ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 100-500% โดยหลายคนเป็นแม่บ้าน นักธุรกิจ หรือพนักงานประจำ ที่ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ นี่คือข้อพิสูจน์ว่า "เมื่อเราอ่านเทรนด์เป็น จับรอบได้ และเข้าใจ Timing" เราจะมองเห็นหุ้นต้นรอบมากมาย
เมื่อนำปัจจัยพื้นฐานมาคัดกรอง ก็จะเหลือเพียง "หุ้นนางฟ้า" ที่พร้อมจะเยียวยาพอร์ตของคุณ โดยที่เราไม่ต้องคอยเฝ้าหน้าจอ เพราะธรรมชาติของหุ้นนอกคือ "เมื่อวิ่งแล้ว จะไม่วิ่งใกล้ๆ" หากจะเล่นสั้นๆ ก็คงไม่ต้องถึงมือรายใหญ่ ดังนั้น จงปล่อยให้เงินทำงาน และปล่อยให้พอร์ตเติบโตไปเรื่อยๆ เพียงแค่ติดตามข้อมูล ณ ปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ
ตลาดทุนสอนให้เราเข้าใจสัจธรรมที่ว่า "Money is made by Sitting, not Trading" ของ Jesse Livermore ยิ่งเราพยายามดิ้นรนซื้อๆ ขายๆ บ่อยเท่าไหร่ ก็เท่ากับนำพอร์ตของเราไปรับความเสี่ยงบ่อยๆ กับสภาวะตลาดที่ผันผวน อีกทั้งต้องทำกำไรแข่งกับค่าธรรมเนียม
ที่สำคัญ การเข้าถึงข้อมูลพื้นฐานของหุ้นอเมริกาและจีนทำได้ง่ายและเป็นธรรมสำหรับรายย่อย และการกระทำผิดกฎหมายในตลาดทุนต่างประเทศนั้นมีโทษหนักและมีการบังคับใช้จริง ทำให้เราสามารถเชื่อถือในธรรมาภิบาลของตลาดได้มากกว่า
นักเรียนหลายคนที่เคย "เจ็บหนัก" จากหุ้นไทย ได้มา "เอาคืน" ในหุ้นจีน หุ้นอเมริกา และทองคำ จนสามารถกลับมามีกำไร และเติบโตจากหลักแสนเป็นหลักล้าน หรือจากหลักล้านเป็นสิบกว่าล้านบาท พร้อมกับบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "สิ่งสำคัญคือการเข้าใจ Mindset การลงทุนที่แท้จริง อย่างมีความสุขและได้ใช้ชีวิตปกติสุข"
ไม่ได้ต้องการ "บูลลี่" หุ้นไทยนะครับ ตลาดบ้านเราเหมาะกับการเก็งกำไรและ Money Game อย่างยิ่ง ใครที่ถนัดก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้เรื่อยๆ แต่หากต้องการถือยาว กินรอบอย่างสบายๆ อาจจะต้องรอจังหวะที่เหมาะสมจริงๆ
สำหรับใครที่ไม่ไหวกับหุ้นไทย ลองเปิดใจให้กับการลงทุนในตลาดต่างประเทศดูครับ เท่าที่เห็นคือ "ไปเมกา ไปจีน ไปทองคำ แล้วไม่กลับมาอีกเลย 555"
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ขาดทุนจากหุ้นไทย ผมขอแนะนำให้ลองไป "เอาคืนหุ้นนอก" ครับ แล้วปล่อยให้กำไรที่ได้ครั้งเดียว ทำให้พอร์ตของคุณเติบโตไปเลย เลิกเตะหมูเตะหมาเก็บทุกโอกาส แล้วเราจะเห็น "โอกาสที่ดีที่สุด รางวัลที่ใหญ่ที่สุด" และท้ายที่สุด คุณจะเข้าใจ "บทสุดท้ายของการลงทุน" ด้วยตัวเองครับ