RSI ชีวิต เร่งเครื่องมากไปก็เสี่ยงพัง แต่สโลว์ไปก็อาจไม่ปังสักที

14 พ.ค. 2568 | 22:30 น.

RSI ชีวิต เร่งเครื่องมากไปก็เสี่ยงพัง แต่สโลว์ไปก็อาจไม่ปังสักที - แล้วชีวิตคุณตอนนี้อยู่โซนไหน? คอลัมน์ SUPER TRADER โดย ลภัสรดา เพ็ญสุข, CMT, CFTe เจ้าของเพจวัคซีนหุ้น

คุณเคยรู้สึกไหมว่า…ร่างกายยังไหว แต่ใจเริ่มเบรก? เหมือนเดินหน้าต่อได้ แต่บางอย่างในตัวคุณเริ่มต้าน นั่นอาจไม่ใช่ความขี้เกียจ แต่คือสัญญาณว่า “แรงกำลังหมด” เช่น รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย รู้สึกไม่มีแรงบันดาลใจ มองท้องฟ้าก็ไม่สดใสเหมือนเดิม เพลงที่เคยอิน อาหารที่เคยกินไม่รู้จักเบื่อ วันนี้มันเบื่อไปหมด หุ้นเองก็มีอาการแบบนี้เหมือนกันค่ะ และมีตัวชี้วัดจุดที่หุ้นน่าจะ Burn Out ให้เราเห็นได้ชัดๆ ด้วย เรียกกันว่า RSI ย่อมาจาก Relative Strength Index มันคือตัวชี้วัด หรือเรียกกันว่าเป็นอินดิเคเตอร์สามัญประจำบ้านตัวหนึ่งที่เทรดเดอร์แทบทุกคนรู้จัก ชี้วัดว่ามี “แรงส่ง” หรือ momentum ของสิ่งที่เราทำกำลังอยู่ในช่วงแข็งแรงแค่ไหน โดยพิจารณาจาก “ช่วงที่ดี” กับ “ช่วงที่แย่” ในระยะหลัง

 

RSI ชีวิต เร่งเครื่องมากไปก็เสี่ยงพัง แต่สโลว์ไปก็อาจไม่ปังสักที

แต่รู้จักก็ไม่ได้เท่ากับรู้ใจและใช้เป็น เรามาเริ่มทำความรู้จักเค้าจากสูตรดีกว่า

RSI ชีวิต เร่งเครื่องมากไปก็เสี่ยงพัง แต่สโลว์ไปก็อาจไม่ปังสักที

ดูอาจจะยุ่งยาก แต่ใจเย็นๆ ค่ะ เดี๋ยวเราจะมาทำความเข้าใจแบบภาษาคนกัน และถ้าคุณเข้าใจคอนเซปท์ครั้งหนึ่งแล้วจะเข้าใจตลอดไป ไม่ต้องท่องเพราะเราไม่ได้จะไปสอบ เราจะไปเทรดทำเงิน

โดยปกติแล้ว ถ้าเราเปิดใช้อินดิเคเตอร์ตัวนี้ในกราฟเพื่อวิเคราะห์หุ้น ค่าที่ตั้งมาให้โดยอัตโนมัติคือ 14 วัน หรือ 2 อาทิตย์ ค่าของ RSI จะอยู่ในช่วง 0-100

ถ้าอยู่ในช่วงมากกว่า 70 คือ โซนที่ “ซื้อมากเกินไป” หรือ “Overbought” คนเข้ามาแย่งกันซื้อ เกิดขึ้นกับอะไรที่เป็นที่ต้องการมาก เช่น ช่วงก่อนที่ฮิตลาบูบู้กัน หรือช่วงโควิดที่คนแย่งกันกักตุนหน้ากากอนามัย

ถ้าอยู่ในช่วงต่ำกว่า 30 คือ โซนที่ “ขายมากเกินไป” หรือ “Oversold” คนแย่งกันขายเหลือเกิน

และถ้าอยู่ในช่วง 50 คือ โซนตรงกลาง คนซื้อคนขายพอๆ กัน

ขอสมมติสถานการณ์ว่าเราเป็น “นายจ้าง” ต้องการรับลูกจ้างเข้ามาทำงาน โดยให้ลูกจ้างทดลองงานเป็นเวลา 14 วัน หรือ 2 อาทิตย์นะคะ จะรุ่งหรือจะร่วง จะจ้างต่อหรือปล่อยมือก็วัดกันไปเลยในช่วงนี้

ใน 14 วันนี้

น้อง A มีช่วงเวลาที่ทำงานดี เข้างานตรงเวลา ทำงานได้ตาม KPI อยู่แค่ 3 วันจาก 14 วัน 11 วันที่เหลือไม่ค่อยมีแรงทำงานเท่าไหร่เพราะกำลังลดน้ำหนัก งดน้ำตาล หงุดหงิดง่าย แฟนตอบไลน์ช้าไป 3 นาทีก็บอกเลิกแล้ว เราจะหาแรงส่งในการทำงาน หรือ RSI ของน้อง A ได้โดย

RS = Average Gain/Average Loss —> วันที่ทำงานดี/วันที่ทำงานไม่ดี —-> 3/11=0.27

เอามาคำนวณ RSI ของน้อง A = 100-(100/1+0.27)=21.3

ได้ออกมาเท่ากับ 21.3 จำได้ไหมคะว่าตัวเลขนี้อยู่ในโซนไหน?

ค่าต่ำกว่า 30 เพราะน้อง A แทบไม่ทำงานเลย ให้ทำอะไรนิดหน่อยก็อ้างว่าน้ำตาลตกตลอด แสดงว่า RSI ของน้อง A อยู่ในโซนขายมากเกินไปหรือ Oversold หรือ สรุปง่ายๆ ว่าฟอร์มไม่ดี

ส่วนน้องทดลองงานคนที่ 2 ขอเรียกแทนว่าน้อง B มีช่วงเวลาที่ทำงานดี เข้างานตรงเวลา ทำงานได้ตาม KPI อยู่ถึง 11 วันจาก 14 วัน (เอาจริงๆ โดยไม่ต้องคำนวณอะไร เราก็ควรจ้างน้อง B ถูกไหมคะ แต่ขอคำนวณต่อให้เห็นภาพชัดๆ)

RS = Average Gain/Average Loss —> วันที่ทำงานดี/วันที่ทำงานไม่ดี —-> 11/3=3.67

เอามาคำนวณ RSI ของน้อง B = 100-(100/1+3.67)= 78.6

ได้ออกมาเท่ากับ 78.6 ดังนั้นอยู่ในโซนซื้อมากเกินไป หรือ Overbought ค่ะ เพราะน้อง B ฟอร์มดี ขยันทำงานสุดๆ หนักเอาเบาสู้ ทำงานดี 11 ใน 14 วัน มีแผ่วไปแค่ 3 วันเพราะไม่สบาย

กลับมาพูดเรื่องความเชื่อพื้นฐานของ RSI นิดนึง หลายๆ แหล่งจะบอกว่า “ให้เข้าซื้อหุ้นเมื่อหุ้นเข้าเขต Oversold หรือขายมากเกินไปและเมื่อไหร่ก็ตามที่หุ้นเข้าเขตซื้อมากเกินไปหรือ Overbought แล้วก็ควรขายทำกำไร”

ทีนี้มาถามด้วย Common sense เลย คำถามคือ…คุณจะจ้างใคร? ในฐานะ “นายจ้าง” คุณอยากซื้อคนที่ฟอร์มตก แล้วขายคนที่กำลังพีคออกไปไหม?

ถ้าไม่…แล้วทำไมเรายังซื้อหุ้นแค่เพราะมัน Oversold หรือขายหุ้นแค่เพราะมัน Overbought ล่ะคะ?

เพราะฉะนั้นเราควรปรับปรุงเงื่อนไขของความเชื่อตรงนี้ เช่น อาจจะพิจารณาให้โอกาสน้อง A ถ้าน้องดูมีทีท่าจะกลับตัวกลับใจ อยากทำงานแล้ว หรือพิจารณาไม่เอาน้อง B คนขยันแค่เฉพาะถ้าน้อง B แสดงอาการ Burn Out ดูไม่อยากทำงานแล้ว

ถ้าเป็นหุ้น เราควรซื้อหุ้น Oversold แค่ในตอนที่หุ้นเริ่มกลับตัวกลับใจขึ้นและขายหุ้น Overbought แค่ในกรณีหุ้นดูท่าไม่อยากไปต่อ เริ่มทำตัวงอแงแล้ว เช่น หลุดแนวรับ

เพราะถ้าไม่มี “การกลับตัว” หุ้นก็สามารถ Oversold ต่อไปได้เรื่อยๆ ราคาต่ำแล้วก็ยังต่ำอีกได้ อารมณ์เหมือนเราเดินห้างเจอของลดราคารีบซื้อ เพราะคิดว่าถูกกว่าปกติ 20% แต่พอซื้อแล้วก็เจอของแบบเดียวกันขายในแอปส้มแบบลดราคา 50%

ในทางกลับกัน หุ้น Overbought ก็สามารถ Overbought และขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ได้ จะเห็นได้ว่าหุ้นที่แข็งแกร่งจริงๆ สามารถขึ้นได้ไม่รู้กี่เด้ง หุ้นพวกนี้ผ่านการ Overbought และพักตัวตื้นๆ มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

บริษัทจะโตได้ต้อง Put the right man on the right job และพอร์ตหุ้นจะโตได้ต้อง Put the right stock in the right trend. จำไว้ว่า หุ้นก็เหมือนคน อย่าตัดสินจากแค่ตอนที่มันล้า หรือแค่ตอนที่มันพีค

 

ลภัสรดา เพ็ญสุข, CMT, CFTe เจ้าของเพจวัคซีนหุ้น