สหรัฐอเมริกา vs จีน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ US bond?

17 เม.ย. 2568 | 02:30 น.
อัปเดตล่าสุด :17 เม.ย. 2568 | 02:38 น.

สหรัฐอเมริกา vs จีน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ US bond? คอลัมน์ SUPER TRADER โดย ภัค วิทยาพันธ์ประชา Super Trader

KEY

POINTS

  • พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แบ่งเป็น T-Bills, T-Notes และ T-Bonds ต่างกันตามอายุและผลตอบแทน โดยประเทศต่างๆ นิยมถือ T-Notes และ T-Bonds มากที่สุดเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
  • จีนลดการถือพันธบัตรสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ขณะประเทศอื่นอย่างสหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้น สะท้อนการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การลงทุนหรือการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศ
  • หากญี่ปุ่นหรือกองทุนเฮดจ์ฟันด์ช้อนซื้อแทนจีน อาจช่วยพยุงตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ แต่จะทำให้เยนอ่อนค่า และกระตุ้น Yen carry trade ให้นักลงทุนแห่เก็งกำไรส่วนต่างดอกเบี้ย

สหรัฐอเมริกา vs จีน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ US bond? คอลัมน์ SUPER TRADER โดย ภัค วิทยาพันธ์ประชา Super Trader

 

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯกันก่อน หลักๆจะแบ่งตามอายุการไถ่ถอน (maturity) ซึ่งพันธบัตรที่ประเทศต่างๆถือครองเป็นการรวม "พันธบัตรทุกรูปแบบและทุกช่วงอายุ" เรียกว่า U.S. Treasury Securities โดยปกติแบ่งได้เป็น 3 ประเภท 

1. Treasury Bills (T-Bills):

  • อายุสั้น : ไม่เกิน 1 ปี
  • ซื้อขายใกล้เคียงกับราคาหน้าตั๋ว (face value) และไม่มีดอกเบี้ยแบบคงที่ (แต่ซื้อถูกกว่าราคาจริงแล้วได้เงินคืนเต็ม)

2. Treasury Notes (T-Notes):

  • อายุกลาง : 2 ปี, 3 ปี, 5 ปี, 7 ปี และ 10 ปี
  • มีดอกเบี้ยจ่ายทุก 6 เดือน (semiannual coupon)

3. Treasury Bonds (T-Bonds):

  • อายุยาว : 20 ปี และ 30 ปี
  • มีดอกเบี้ยจ่ายทุก 6 เดือน

โดยประเทศส่วนใหญ่ถือ T-Notes และ T-Bonds เป็นหลัก เพราะให้ผลตอบแทนระยะยาว และมีตลาดรองที่ใหญ่

ส่วน T-Bills จะเป็นที่นิยมในช่วงตลาดมีความผันผวนสูงหรือดอกเบี้ยขาขึ้น เพราะอายุสั้น เสี่ยงน้อย
 

สัดส่วนการถือครองพันธบัตรของแต่ละประเทศ


โดยสัดส่วนการถือครองพันธบัตรของแต่ละประเทศเป็นดังนี้ (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2024)

1. ญี่ปุ่น ถือครองประมาณ 1.079 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
2. จีน (แผ่นดินใหญ่) ถือครองประมาณ 760.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
3. สหราชอาณาจักร ถือครองประมาณ 740.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ U.S. Department of the Treasury+1 Reuters+1
4. ลักเซมเบิร์ก ถือครองประมาณ 409.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ U.S. Department of the Treasury
5. หมู่เกาะเคย์แมน ถือครองประมาณ 404.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Visual Capitalist+6 Reuters+6 Investopedia+6
6. เบลเยียม ถือครองประมาณ 377.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ U.S. Department of the Treasury
7. แคนาดา ถือครองประมาณ 328.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
8. ไอร์แลนด์ ถือครองประมาณ 318.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
9. บราซิล ถือครองประมาณ 301.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
10. ไต้หวัน ถือครองประมาณ 250.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

โดยที่ผ่านมาจีนได้ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ และการใช้บัญชีผู้ดูแลในประเทศอื่น ๆ เพื่อปกปิดขอบเขตที่แท้จริงของการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ

ในขณะที่จีนลดการถือครอง ประเทศอื่น ๆ เช่น สหราชอาณาจักร เบลเยียม และลักเซมเบิร์ก มีการเพิ่มการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การลงทุนหรือการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศ


เราลองมาประเมินกันคร่าวๆ ในหลายๆรูปแบบว่าอะไรจะเกิดขึ้น

1. ถ้าจีนขายพันธบัตรสหรัฐแล้ว “ไม่มีใครมาช้อนซื้อ” จะเกิดอะไรขึ้น?

  • อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น : ราคาพันธบัตรลดลงเพราะมี supply เยอะ ไม่มี demand → Yield ต้องสูงขึ้นเพื่อดึงดูดผู้ซื้อรายใหม่
  • ต้นทุนกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น : เนื่องจากดอกเบี้ยสูงขึ้น รัฐบาลจะต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นเพื่อระดมทุน
  • กระทบตลาดการเงินทั่วโลก : นักลงทุนอาจ panic ขายสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น ทองคำ กลับสู่สหรัฐเพราะ yield ที่สูงขึ้น
  • ค่าเงินดอลลาร์อ่อน : หากจีนแปลงดอลลาร์เป็นเงินหยวนหรือสกุลอื่น ก็จะกดดันค่าเงินดอลลาร์
  • กระทบเศรษฐกิจสหรัฐ : ดอกเบี้ยสูงขึ้น = กู้ยืมแพงขึ้นทั้งสำหรับธุรกิจและประชาชน → ชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ


2. ถ้าจีนขายออกมาแล้ว “มีคนมาซื้อ” จะเกิดอะไรขึ้น?

  • ความเชื่อมั่นในพันธบัตรสหรัฐยังมีอยู่ : ตลาดยังมองว่า U.S. Treasury เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven)
  • Yield อาจขึ้นเล็กน้อยในระยะสั้น : แต่ถ้ามี demand มารองรับ ราคาจะไม่ร่วงแรง ดอกเบี้ยจะไม่พุ่งมาก
  • สภาพคล่องในตลาดยังคงมี : นักลงทุนสถาบันอาจมองเป็นโอกาสเข้าซื้อพันธบัตรราคาถูก

 

คำถามเพิ่มเติม แล้วใครจะเป็นคนซื้อ?

 

  • ญี่ปุ่น : เป็นผู้ถือพันธบัตรสหรัฐรายใหญ่อันดับต้น ๆ อยู่แล้ว อาจใช้โอกาสนี้เพิ่มสัดส่วน
  • ธนาคารกลางอื่น ๆ : เช่น สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ หรือประเทศในยุโรปที่ต้องการกระจายเงินสำรอง
  • กองทุนบำนาญ/กองทุนประกัน : ต้องการสินทรัพย์ที่มั่นคงระยะยาว
  • นักลงทุนเอกชน/กองทุนเฮดจ์ฟันด์ : มองหา yield ที่สูงกว่าช่วงปกติ

เพราะฉะนั้น ณ จุดนี้เลยประเมินว่าถ้าจีนเทขายพันธบัตรของอเมริกาออกมาจริงๆ ตรงนี้เลยคาดการว่าญี่ปุ่น และกองทุนเฮดฟันด์จะเป็นผู้ซื้อไป เพราะที่ผ่านมายังไม่ได้เพิ่มสัดส่วนการถือเลยจากข้อมูลที่เปิดเผย แต่มุมหนึ่งถ้าญี่ปุ่นเก็บพันบัตรอเมริกาเพิ่มขึ้นเดาว่าเหตุการ Yen carry trade จะกลับมา 
 

ถ้าญี่ปุ่น “ช้อนซื้อ” พันธบัตรที่จีนขายออกจริง


1. พันธบัตรสหรัฐฯ ได้รับแรงสนับสนุน → อัตราผลตอบแทน (yield) ลดลง

  • ถ้าญี่ปุ่น “ดูดซับ” พันธบัตรเหล่านั้น → ราคา T-Bond จะสูงขึ้น → Yield ลดลง
  • Yield ต่ำลง = ต้นทุนการกู้ของสหรัฐฯ ลดลง → บรรเทาความตึงเครียดตลาดพันธบัตร

2. ญี่ปุ่นต้องแปลงเงินเยนเป็นดอลลาร์สหรัฐ → ทำให้เยนอ่อนค่า

  • การซื้อ T-Bond = ต้องใช้ USD
  • ความต้องการ USD เพิ่ม → JPY อ่อนค่าลง

3. เยนอ่อนค่า + ดอกเบี้ยญี่ปุ่นยังต่ำมาก เป็นปัจจัยบวกต่อ Carry Trade นักลงทุนต่างชาติจะยิ่งอยาก “กู้เยน → ไปลงทุนสินทรัพย์ดอกเบี้ยสูง”

  • ตัวอย่าง: กู้เยน → ซื้อ USD → ไปลงพันธบัตรหรือหุ้นสหรัฐฯ → ได้ spread ส่วนต่างดอกเบี้ย

จะเห็นว่าวัฏจักรนี้จะกลับมา และหมุนวนอย่างนี้แแบบไม่สิ้นสุด ดังนั้นช่วงนี้นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ข่าวสาร และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบกับการวางแผนการลงทุนต่อไป ซึ่งปัจจุบันตัวเลขผลตอบแทนพันธบัตรทั้ง 2,10,30 ปีก็พุ่งสูงขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็มีมาตรการบรรเทาความรุนแรงออกมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ขยายเวลาการต่อรองเรื่องการปรับขึ้นภาษีการนำเข้าสินค้าออกไปอีก 90วัน