ขุด “5 โคตรหุ้นไทย” มีอะไรดี !!!

25 ธ.ค. 2568 | 23:30 น.

ขุด “5 โคตรหุ้นไทย” มีอะไรดี !!! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย... เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • เปิดรายชื่อ 5 หุ้นใหญ่ในกลุ่ม SET50 ได้แก่ DELTA, KTB, ADVANC, TCAP และ TTB ที่ราคาปรับตัวเป็นบวกต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน สวนทางดัชนีหุ้นไทยที่ซบเซา
  • ปัจจัยความสำเร็จมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สอดคล้องกับกระแสโลก เช่น DELTA ได้รับอานิสงส์จากเทรนด์ AI, ADVANC ขยายสู่ธุรกิจดิจิทัล และ TTB ที่แข็งแกร่งขึ้นหลังการควบรวมกิจการ
  • หุ้นเหล่านี้มีความน่าสนใจจากปัจจัยหนุนที่แตกต่างกัน ทั้งการมีกลุ่มทุนใหญ่สนับสนุน, การต่อยอดจากโครงการภาครัฐ (แอปฯ เป๋าตัง) และการเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ

*** อย่าได้มองเพียงว่า การที่ดัชนีหุ้นไทย ซึ่งเคลื่อนที่อยู่ในระดับ 1260-1270 จุด จะทำสถิติต่ำสุดในรอบ 5 ปี จนทำให้ตลาดหุ้นไทยแย่ไปหมดทุกทาง อย่างน้อยหากตรวจแถวหุ้นในกลุ่ม SET50 (กลุ่มหุ้น 50 อันดับแรก ที่มีมูลค่าตลาดและสภาพคล่องสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ให้ดี ก็จะพบว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีหุ้นใหญ่จำนวน 5 ตัว ที่หลุดลอดสายตา เพราะมีการขยับราคาหุ้นเป็นบวกต่อเนื่องกันถึง 3 ปีซ้อน

ประกอบไปด้วย DELTA KTB ADVANC TCAP และ TTB ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า “โคตรหุ้นไทย” ได้โดยที่จะไม่ทำให้ “กระดากปาก” หลังจากที่พูดออกไปแล้ว...

ว่าแต่โคตรหุ้นทั้ง 5 รายมีอะไรดี...ทำไมราคาหุ้นถึงเป็นบวกต่อเนื่องได้นานขนาดนี้ !!!

เริ่มต้นจาก DELTA (บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์) รายนี้สาเหตุที่ขยับขึ้นมาเป็นหุ้นไทยเบอร์หนึ่ง เมื่อวัดกันตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เจ๊เมาธ์มองว่า เป็นเรื่องของการ “วางแผนและการเตรียมการ” มากกว่าเรื่องของผลการดำเนินงานและโชคชะตา  

ทั้งนี้ หากย้อนหลังกลับไปเมื่อหลายปีก่อน จะรู้ว่า DELTA เคยแตกพาร์ออกมาในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 10 หุ้นใหม่ ในขณะที่หุ้นของบริษัทมีอัตราส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และแม้การแตกพาร์ที่ว่า จะทำให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้น DELTA จะมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ Free Float เพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของกลุ่มทุนที่เป็น Taiwan Connection ทั้งในส่วนของ โบรกฯ สีเหลือง โบรกฯ ตัว เค. และนักลงทุนข้ามชาติที่ช่วยดันราคาหุ้นของ DELTA ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม...ด้วยกระแสของ AI ที่ส่งผลให้หุ้นเทคฯ ทั่วโลกได้อานิสงส์ ซึ่งก็รวมไปถึง DELTA ที่ได้รับผลกระทบในเชิงบวกจนส่งผลให้ทั้งยอดขาย รายได้และกำไรของบริษัทดีขึ้นมาก ส่งผลให้ DELTA กลายเป็นหุ้นเล่นรอบเก็งกำไรยอดนิยมที่ถูกไล่ราคาขึ้นตามกระแสโลก จนส่งผลให้ DELTA กลายเป็นหุ้นไทยเบอร์หนึ่งในที่สุด

ต่อมาเป็นเรื่องของ KTB (บมจ.ธนาคารกรุงไทย) รายนี้ถือว่าการปรับราคาขึ้นมาจากทั้ง “ความโชคและมีผลงานเด่น” ที่เข้ามาบรรจบกันในจังหวะที่พอเหมาะพอดี   

ทั้งนี้...หากจะให้ขยายความในคำว่าโชคดี ก็น่าจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลในขณะนั้น จำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ภาคประชาชนผ่านทางแอป “เป๋าตัง” ซึ่งเป็นสมบัติในย่ามของ KTB 

และถึงแม้ว่า ในท้ายที่สุดโครงการอัดเงินเข้าระบบที่ว่าจะยุติลง หากแต่ แอปเป๋าตั้ง ก็ยังผันตัวไปทำธุรกิจขาย “ลอตเตอรี่ออนไลน์” ซึ่งเป็นการต่อยอดรายได้ให้ KTB

ขณะเดียวกัน หลังจบยุคโควิด-19 ก็ยังทำให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ KTB สามารถทำรายได้และกำไรสูงสุดใหม่หลายรอบติดต่อกัน...  

ทางด้านของ ADVANC (บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส) สำหรับรายนี้อาจพอที่จะเรียกได้ว่า เป็นหุ้นไทยยอดนิยมในระดับต้นๆ ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นหุ้นมือถือรายใหญ่เบอร์หนึ่งของไทย ที่มีผู้ใช้บริการกว่า 46 ล้านเลขหมาย จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นหุ้นผู้ขาดมือถือ (Monopoly) เพราะในตลาดมือถือของไทย มีผู้เล่นเพียงสองรายคือ ADVANC และ TRUE (ภายหลัง TRUE ควบรวมกับ DTAC) ส่งผลให้รายได้และกำไร และอัตราส่วนการทำกำไรของ ADVANC เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่บริษัทแม่รายเดิมของ ADNANC อย่าง INTUCH ได้ควบรวมกิจการกับ GULF ส่งผลให้ GULF ซึ่งเป็นบริษัทที่มีพร้อมทั้งเงินทุนและคอนเนคชั่น กลายเป็นบริษัทของ ADNANC แม่โดยตรง ส่งผลให้ ADVANC มีโอกาสปลดล็อค เพื่อที่จะก้าวออกไปสู่ธุรกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ

ทั้งธุรกิจ บล๊อกเชน Data Center IoT โซลูชันสำหรับองค์กร แพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ ส่งผลให้ ADVANC กลายเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่หลุดออกไปจากข้อจำกัดซึ่งเป็นกรอบเดิมๆ ซึ่งสามารถเติบโตไปตามกระแสโลกอย่างแท้จริง 

ในฝั่งของ TCAP (บมจ. ทุนธนชาต) แม้ว่ารายนี้ชื่อเสียงอาจจะไม่ถูกกล่าวถึงบ่อยมากนัก แต่การที่มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลายเป็นบริษัทแม่ (Holding Company) ที่มีธุรกิจในกลุ่มธนชาตที่ครอบคลุมทั้งสินเชื่อรถยนต์ ประกันภัย หลักทรัพย์ และลงทุนใน TTB ในสัดส่วนถึง 23.37% ทำให้มีรายได้จากหลายทาง ทำให้กลายเป็นหุ้นที่มีปันผลต่อเนื่อง (คาดการณ์ปี 68-69 ผลตอบแทน 6-7%) และยังส่งผลให้ TCAP กลายเป็นหุ้นที่คุ้มค่าต่อการลงทุนจนติดอันดับ “โคตรหุ้นไทย” ได้อีกตัว

ท้ายสุดเป็นทางด้านของ TTB (บมจ. ธนาคารทหารไทยธนชาต) สำหรับรายนี้มีความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น หลังการควบรวมกิจการกับ ธนาคารธนชาต ในปี 2021 ส่งผลให้ TTB ขยับขึ้นมาเป็นธนาคารใหญ่อันดับหนึ่งในห้าของไทย โดยคาดว่าจะจ่ายปันผลครึ่งแรกปี 2568 สูงสุดในกลุ่มธนาคาร (3.4%) และมีแนวโน้มจ่ายต่อเนื่อง และยังมีแนวโน้มกำไรปี 2569–2570 คาดเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% จากทั้งรายได้ดอกเบี้ย และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย  

หลังจากที่เจ๊เมาธ์วิเคราะห์รายละเอียดของ “โคตรหุ้นไทย” จะพบว่า ทั้ง 5 ราย สิ่งที่ส่งผลให้หุ้นเหล่านี้มีราคาหุ้นที่ขยับขึ้นมาต่อเนื่อง ล้วนมาจากการเปลี่ยนไปตามเทรนด์ของโลก การมีโชคช่วย การมีทุนใหญ่สนับสนุน รวมไปถึงการควบรวมกิจการ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างแทบทั้งสิ้น หมายความว่า วิธีคิดของนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีการใช้กระแสของความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่สอดคล้องกับกระแสโลกมาเป็นตัวชี้วัดการลงทุนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง  

ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็นตัวของบริษัทซึ่งระดมทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทยหรือตัวของนักลงทุนเอง เจ๊เมาธ์มองว่า จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับกระแสของโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม 

นาทีนี้บอกเลย ถ้าหวังแค่จะอยู่หรือเอาตัวรอดไปวันๆ โดยไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง อนาคต...ก็คงจะมองเห็นได้เพียงจุดจบเท่านั้นเองเจ้าค่ะ อิอิอิ