2569 หลังเลือกตั้งใหม่...เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร

24 ธ.ค. 2568 | 10:16 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ธ.ค. 2568 | 10:25 น.

2569 หลังเลือกตั้งใหม่...เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย... เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • การเลือกตั้งใหญ่ในเดือน ก.พ. 69 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยเสถียรภาพและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ
  • ปัญหาการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อมูลค่าการค้าชายแดน และคาดว่าจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานหลายปี
  • มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่จะบังคับใช้เต็มตัวในปี 69 เป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะกระทบการส่งออกและอาจทำให้ GDP ของไทยชะลอตัว

*** หากเศรษฐกิจของไทยใช้ดัชนีหุ้นไทยในช่วงวันสุดท้ายของปีเป็นตัวชี้วัด จะพบว่า ในระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ปี 2563 อยู่ที่ 1449 จุด ต่อมาในปี 2564 ดัชนีหุ้นปิดที่ 1657 จุด ในปี 2565 ดัชนีหุ้นวันสุดท้ายอยู่ที่ 1668 จุด ส่วนในปี 2566 ดัชนีหุ้นปิดตลาดที่ 1415 จุด ขณะที่ในปี 2567 ดัชนีไทยปิดตลาดไปที่ 1400 จุด ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา 

แต่ล่าสุดในช่วง 10 วันสุดท้ายของปี 2568 การที่ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่เพียง 1265-1275 จุด ทำให้มีโอกาสสูงเป็นอย่างยิ่งที่ดัชนีต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีของปี 2567 จะถูกทำลายลงในปีนี้

คำถามคือ…เศรษฐกิจไทย ในปี 2569 จะได้ไปต่อหรือแย่ลงกว่าเดิม ???

จุดเปลี่ยนแรก... ที่น่าจะเป็นคำตอบก็คือ เรื่องของการเลือกตั้งใหญ่ จะต้องจัดขึ้นภายในกรอบเวลา 45-60 วันหลังยุบสภา (12 ธ.ค. 68) จะอยู่ในช่วงวันที่ 26 ม.ค. - 10 ก.พ. 69 ซึ่งก็ได้กำหนดออกมาแล้วว่า จะจัดให้มีการเลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 69 

และหากไม่มีปัญหาเรื่องเวลาในการตั้งรัฐบาล และเลือกตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ มาจากรัฐบาลพรรคเดียว หรือ รัฐบาลผสม ก็จะทำให้มีความชัดเจนต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในเรื่องของทิศทาง และ เสถียรภาพ

เริ่มต้นจาก “พรรคภูมิใจไทย” พรรคการเมืองซึ่งถูกประเมินว่า มีโอกาสที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้มากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาลรักษาการ ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ก่อนประกาศยุบสภา พบว่า มีการโยกย้ายข้าราชการส่วนท้องถิ่นในแทบทุกระดับจำนวนมาก นัยว่าเป็นการเสริมฐานมวลชนของพรรคภูมิใจไทย ขณะที่ทั้งก่อนและหลังประกาศยุบสภา ก็มีนักการเมืองจำนวนมากยื่นความจำนงค์ที่จะเข้าร่วมงานกับพรรค 

นอกจากนี้ พรรคภูมิใจไทย และ นายอนุทิน ยังได้อานิสงส์จากกระแสชาตินิยม ภายหลังเกิดการปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างท่วมท้นตามมาอีกด้วย

ทั้งนี้...พรรคภูมิใจไทยวางนโยบายเป็น 3 ระยะ ตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง ไปจนถึง ระยะยาว โดยในช่วงเร่งด่วนจะมุ่งบรรเทาภาระประชาชนผ่านมาตรการพักหนี้ทุกรูปแบบ วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ควบคู่กับการเดินหน้านโยบาย “คนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและพยุงเศรษฐกิจฐานราก 

ขณะที่ในระยะยาว จะเน้นการวางโครงสร้างใหม่ให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี โดยกำหนดให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากสวัสดิการของรัฐ มากขึ้นกว่าผู้ที่อยู่นอกระบบ เช่น การยกระดับสิทธิการรักษาพยาบาลผ่านบัตร 30 บาทพลัส

ในส่วนของ พรรคเพื่อไทย...รายนี้ถึงแม้ว่าจะถูกมองว่า มีแนวโน้มจะหลุดโผในการเป็นแกนนำของพรรครัฐบาล หลังการเลือกตั้งปี 69 แต่เนื่องจากการที่พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคใหญ่ที่มีความพร้อม ทั้งประสบการในการเลือกตั้ง และกำลังเงิน ก็ทำให้ประมาทไม่ได้ 

ทั้งนี้นโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ระบุว่า พรรคใช้ “10 หลักคิด อาทิ...การสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจและความรับผิดชอบทางการคลัง การให้ความสำคัญกับการแก้หนี้เสียเรื้อรัง การปลดล็อกกฎหมายและปรับโครงสร้างระบบภาษี เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุน รวมไปถึงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน 

พรรคประชาชน...รายนี้แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์จริงในการบริหารประเทศ แต่เนื่องจากในการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า แม้พรรคประชาชนจะไม่ประสบความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาล แต่การที่สามารถนำ ส.ส.เข้าสภาได้มากเป็นอันดับหนึ่ง ก็ทำให้พรรคประชาชนยังมีโอกาส 

โดยนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรค เน้นไปที่ยุทธศาสตร์ใหญ่ โดยการชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย ใน 4 เครื่องยนต์ ได้แก่ (1) พัฒนาทักษะคนไทยรูปแบบใหม่ (2) ยกเครื่องอุตสาหกรรมเก่าขึ้นเป็นอุตสาหกรรมใหม่ (3) หนุนเกษตรหลากหลาย สร้างดีมานด์กระตุ้นซัพพลาย และ (4) คอนเน็กไทยกับโลกเพื่อร่วมขบวนเทคโนโลยีแห่งอนาคต  

ท้ายที่สุดเป็น พรรคประชาธิปัตย์...รายนี้ถือเป็นพรรคการเมืองที่มีประวัติยาวนาน นอกจากนี้ยังได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง 
พรรคประชาธิปัตย์เปิดนโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ภายใต้แคมเปญ “ไทยไม่ทน” พาประเทศหลุดพ้นจากสภาพที่ต้องทนอยู่กับความยากลำบาก โดยใช้คำผวนแบบไทย ๆ ว่า “ทนหายใจ” จะเปลี่ยนเป็น “ไทยหายจน” 

โดยคำว่า “จน” ที่พรรคประชาธิปัตย์พูดถึง ไม่ได้หมายถึงปัญหาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หรือการติดหล่มจากโครงสร้างผูกขาดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความ “จน” ในมิติอื่น ๆ ทั้งจนปัญญา จนเงิน จนใจ และจนตรอก ซึ่งล้วนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

จุดเปลี่ยนที่สอง... เป็นเรื่องปัญหาการปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจากตัวเลขพบว่า ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 จะมีมูลค่าการนำเข้าและส่งออกราว 16,000 ล้านบาทต่อเดือน แต่หลังปะทะมูลค่าการค้าระหว่างกันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เหลือ 376 ล้านบาท 10 ล้านบาท และ 11 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และ กันยายน จนแทบไม่มีเหลืออยู่เลยในปัจจุบัน 

โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบได้แก่ ธุรกิจบริเวณจังหวัดชายแดน ซึ่งมีการซื้อขาย การขนส่งสินค้าข้ามแดนไปมาระหว่างสองประเทศ หรือ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และบริการอื่นๆ ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถกลับมามีรายได้เช่นเดิม 

อย่างไรก็ตาม...ถึงแม้ว่าการปะทะกันในพื้นที่ชายแดน จะจบลงไปพร้อมกับการประกาศหยุดยิงในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ แต่เจ๊เมาธ์ยังมองว่า ธุรกิจในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในปีนี้ และคงต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี กว่าจะฟื้นกลับมาเป็นปกติก็ 

ดังนั้น เรื่องของพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับทิศทางเศรษฐกิจของไทย ในปี 2569 ที่ชัดเจนอย่างแน่นอน

ท้ายที่สุด...เป็นเรื่องภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มตัวในปี 2569 ทั้งนี้แม้ว่า ไทยจะถูกเรียกเก็บในอัตรา 19% แต่ยังมีภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ซึ่งมีอัตราสูงถึง 40% ที่สหรัฐฯ อาจเรียกเก็บกับสินค้าที่ถูกส่งผ่านไทย (หรือประเทศอื่น) เพื่อเลี่ยงภาษีสูงจากประเทศต้นทางจริง 

โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากจีน ซึ่งนั่นจะทำให้สินค้าไทยที่ส่งไปยังสหรัฐฯ มีราคาที่สูงขึ้นและยังส่งผลต่อ GDP ไทยชะลอตัว (คาดติดลบ 0.42-0.77%) กระทบอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงการส่งออกสูง เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และ วัตถุดิบขั้นกลาง รวมถึงกระทบการลงทุน และ อาจนำไปสู่การลดการจ้างงานในระยะยาว

หากกล่าวโดยสรุป จากปัจจัยที่เจ๊เมาธ์ร่ายมาทั้ง 3 อย่างจะพบว่าในทั้ง 3 ข้อ มีเพียงเรื่องของผลลัพธ์ที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ที่ประเทศไทยและประชาชนไทยสามารถควบคุมได้ 

ส่วนอีกสองข้อที่เหลือ...ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ปัญหาภาษีทรัมป์ แม้จะถือเป็นปัญหาที่ควบคุมได้ยากยิ่งกว่าเนื่องจากส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย เพราะคิดเป็นตัวเลขได้อย่างชัดเจน แต่ปัญหาเหล่านี้ ก็เป็นปัญหาภายนอกที่ถึงใช้เวลาอีกหลายปี..แต่ก็ไม่ยากที่จะผ่านไปได้ในอนาคต

ดังนั้น ปัญหาเดียวที่ถือว่า เป็นปัญหาเรื้องรังของไทย คือ เรื่องของความสามัคคีของคนไทย โดยเฉพาะในประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ที่มีผลทำให้ประเทศต้องหยุดนิ่งมากว่า 20 ปี 

หมายความว่า...หากการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองลงได้ เจ๊เมาธ์ก็เชื่อว่าประเทศไทยยังจะไปต่ออย่างไม่มีปัญหา ...นาทีนี้ถ้าคนไทยไม่ช่วยกันก็ไม่ต้องหวังว่า ใครจะมาช่วยเราอีกแล้วเจ้าค่ะ


คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย... เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์