KEY
POINTS
*** ในทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2568 พบว่า “เสี่ยกลาง” สารัชถ์ รัตนาวะดี ถือหุ้นอยู่ใน บมจ. กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF คิดเป็นสัดส่วน 29.19% รวมมูลค่า 189,684.32 ล้านบาท และถือหุ้นของ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ITC ในสัดส่วน 0.65% มูลค่า 308.15 ล้านบาท มีมูลค่ารวมของการถือครองหุ้นรวมทั้งสิ้นถึง 189,992.47 ล้านบาท ส่งผลให้ “เสี่ยกลาง” เป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 1 ของไทยต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 7
ว่าแต่ “สารัชถ์ รัตนาวะดี” เป็นใคร...มาจากไหนและรวยได้ยังไง...
สารัชถ์ เกิดปี 2508 โดยมีบิดาคือ พลเอก ถาวร รัตนาวะดี อดีตผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย และยังเป็นนายทหาร จปร.5 อันโด่งดัง ในขณะที่ฝั่งมารดาคือ นางประทุม รัตนาวะดี ซึ่งเป็นน้องสาวของ วาริน พูนศิริวงศ์ ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์และสื่อในเครือแนวหน้า
ทั้งนี้ สารัชถ์ จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ก่อนจะเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แน่นอนว่า ทั้งพื้นฐานทางครอบครัว พื้นฐานทางด้านการศึกษาและสถานศึกษา ถือว่าอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ สารัชถ์ กลายเป็นคนระดับเศรษฐีได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าก็คือ สิ่งที่ทำให้ “เสี่ยกลาง” กลายเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 1 ของไทยต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 7 นี่สิ...ทำได้อย่างไร !!!
สารัชถ์ เริ่มต้นการสร้างอาณาจักรทางพลังงานไฟฟ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ด้วยการตั้ง บริษัท กัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด ในปี 2537 และในช่วงเวลาที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เริ่มกระจายให้ผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ผลิตไฟฟ้า โดยมี กฟผ. เป็นผู้รับซื้อจากผู้ผลิตเอกชนอิสระ (Independent Power Producer: IPP) ทั้งหมดในปี 2539 ซึ่งในปีนั้น “กัลฟ์ อิเล็คตริก” ก็ได้แตกตัวออกเป็นบริษัทย่อยหลายแห่ง เพื่อรองรับความต้องการของ กฟผ. เช่นกัน
ในปี 2547 “กัลฟ์ อิเล็คตริก” ได้เพิ่มทุนจาก 5,000 ล้านบาท เป็น 1.4 หมื่นล้านบาท และต่อมาในปี 2554 “เสี่ยกลาง” ได้ตั้ง บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ เพื่อถือหุ้นบริษัทในเครือทั้งหมด ก่อนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในชื่อ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF โดยบริษัทฯ ได้เปิดให้จองซื้อหุ้น IPO ที่ราคาจองซื้อในราคาหุ้นละ 45 บาท ก่อนเข้าซื้อขายวันแรกในเดือนธันวาคม 2560 ซึ่งถือว่าเป็นการระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดในปี 2560 อีกด้วย
ต่อมา ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 คณะกรรมการของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) ได้ประกาศการควบรวมกิจการ และเปิดซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผ่านการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัท ภายใต้ชื่อ GULF ในวันที่ 3 เมษายน 2568
ในปัจจุบัน GULF มีธุรกิจหลักเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนกำลังการผลิตรวม 23,355 MW แบ่งเป็นที่ดำเนินการอยู่จำนวน 15,099 MW และที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา 8,256 MW และมีโครงสร้างพื้นฐานและโครงการสาธารณูปโภค อยู่ระหว่างพัฒนา 4 โครงการ เช่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (M6 และ M81) ระบบจำหน่ายไฟฟ้า และระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ One Bangkok รวมถึงโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (ท่าเทียบเรือ F)
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจดิจิทัลผ่านการถือหุ้นใน ADVANC และ THCOM โดยมีการศึกษาแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อพัฒนาธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานพลังงานยุคดิจิทัล ธุรกิจศูนย์ข้อมูลและธุรกิจการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล
ล่าสุด ในไตรมาส 3/68 พบว่า GULF มีรายได้รวมอยู่ที่ 30,177 ล้านบาท ลดลง 26% จาก 40,617 ล้านบาท เมื่อเทียบไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ประกอบกับราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง กดดันให้มูลค่าหุ้นของ GULF ปรับมูลค่าลง ส่งผลผลทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของ “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ปรับลดลงไปถึง 50,349.43 ล้านบาท หรือ 20.95%
แม้มูลค่าของสินทรัพย์จะปรับลงถึง 5 หมื่นล้านบาท แต่ก็ไม่ได้ทำให้ “เสี่ยกลาง” ซึ่งครองตำแหน่งเศรษฐีหุ้นเบอร์หนึ่งของไทยมายาวนานกระทบกระเทือนแต่อย่างใด...
เอาเป็นว่าที่เจ๊เมาธ์เล่าเรื่องเศรษฐีเบอร์หนึ่งของตลาดหุ้นไทยไม่ใช่อยากทำให้ใครอิจฉาใคร แต่เจ๊หวังให้เป็นกำลังใจสำหรับทุกคนนะคะ คนเราถึงจะรวยเท่ากันไม่ได้ ...แต่ก็ใช้สร้างให้เป็นแรงบันดาลใจได้ค่ะ
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์