บล.พาย ก้าวย่างที่หวาดระแวง...

25 พ.ย. 2568 | 23:30 น.

บล.พาย ก้าวย่างที่หวาดระแวง... : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • ก.ล.ต. สั่งเพิกถอนใบอนุญาตที่ปรึกษาทางการเงินของ "บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด" ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บล.พาย เป็นเวลา 10 ปี
  • สาเหตุการลงโทษมาจากการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องร้ายแรง โดยมีเจตนาช่วยเหลือบริษัทที่เตรียม IPO ปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน
  • แม้ บล.พาย จะรายงานการเติบโตในบางธุรกิจ แต่ผลประกอบการโดยรวมยังคงขาดทุน และต้องเผชิญกับปัญหาด้านชื่อเสียงจากกรณีของบริษัทลูก

นับตั้งแต่ บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ Z.com ได้แจ้งยุติบริการโบรกเกอร์ในไทย แจ้งลูกค้าโอนหุ้นไปโบรเกอร์อื่น ห้ามฝากเงินสด และโอนหุ้นเข้ามา พร้อมเริ่มปิดบัญชีที่ไม่มีทรัพย์สินคงเหลือ ตั้งแต่ 3 มี.ค.68 เนื่องจากปัญหาการ “จำนำหุ้น” หรือ Margin Loan ส่งผลให้โบรกเกอร์หลายแห่งระมัดระวังความเคลื่อนไหวที่มีความสุ่มเสี่ยงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดิมตามรอย เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนเป็นจำนวนมากยังอาจส่งผลให้บริษัทไม่เหลือที่ยืนอยู่ในสังคมอีกด้วย...

แต่เรื่องของเงินและผลประโยชน์ไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว!

เพราะนอกจากการทำหน้าที่อยู่กับหุ้นที่ซื้อขายบนหน้ากระดานในแบบปกติ บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) หลายแห่งยังมีประเด็นที่เกี่ยวพันกับตลาดหุ้น IPO ทั้งที่อาจจะอยู่ในฐานะของบริษัทผู้รับจองและจัดสรรหุ้นให้ประชาชนที่มาจองซื้อหุ้น IPO (Underwriter)

ในขณะที่โบรกเกอร์บางแห่งก็มีแผนกหรือมีบริษัทลูกซึ่งทำหน้าที่เป็นวาณิชธนกิจ (Investment Banking : IB) ในรูปแบบของที่เป็นปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisory : FA) ให้กับบริษัทที่จะทำ IPO และในกลุ่มบริษัทที่ว่านี้ก็มีหลายแห่งที่สร้างปัญหาจนทำให้ตลาดหุ้น IPO ของไทยตกต่ำจากความ "ฉ้อฉล" จนถูกจับได้ในที่สุด...

ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สั่งเพิกถอนการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นเวลา 10 ปี หลังตรวจสอบพบข้อบกพร่องอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisory) โดยมีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาไม่สุจริต ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทที่จะทำ IPO ในการปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อการพิจารณาคำขออนุญาต IPO ของ ก.ล.ต. หรือต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ชื่อที่เหมือนกัน...ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่า บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ก็คือบริษัทลูกของ บริษัท หลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) นั่นเอง!

มาดูกันว่า บริษัท หลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) มีใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และมีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง

จากข้อมูลล่าสุดของ ก.ล.ต. พบว่า บล.พาย มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประกอบไปด้วย บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 90.98% CHINATRUST REAL ESTATE CO.,LTD. ถือหุ้น 8.40% และ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไทยฟูจิ จำกัด ถือหุ้น 0.14% โดยมีผู้บริหารซึ่งประกอบไปด้วย

  1. นางสาวณัฐชรินพร เจษฎาพิสิฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
  2. นางกฤษณา แซ่หลิ่ว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
  3. นางณัชชา สุนทรธาราวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ร่วม) และผู้บริหารสูงสุด Private Wealth
  4. นายกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน
  5. นางสาวลลิดา ทีฆเสนีย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน
  6. นายนิกันติ์ คุณกำจร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม...แม้ บล.พาย จะระบุว่า บริษัทสามารถสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งยังสามารถครองความเป็นผู้นำในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ด้วยการเป็นบริษัทหลักทรัพย์อันดับหนึ่งด้านรายได้ ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดเกินกว่าร้อยละ 10 มีบัญชีหุ้นต่างประเทศยังเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 150 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับปีก่อน อีกทั้งธุรกิจด้าน Private Wealth ของ บล.พายยังเติบโตก้าวกระโดดกว่าร้อยละ 400

แต่ในทางกลับกันกับพบว่าผลการดำเนินงานของ บล.พาย ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 (30 มิ.ย. 68) พบว่าบริษัทยังขาดทุน 82 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วขาดทุนอยู่ถึง 127 ล้านบาท

ถ้าใครยังจำได้...จะรู้ว่าเดิมที บล.พาย มีชื่อว่า บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น บริษัท หลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565.

ในอดีตเคยมีดาวดังวงการหุ้นอย่าง “นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” ผู้ซึ่งขณะนี้หลบหนีคดีอยู่ในต่างแดนเป็นผู้บริหาร

ขณะที่ในยุคปัจจุบันก็มามีเรื่องของบริษัทลูกอย่าง บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ถูก ก.ล.ต. ลงโทษหลังตรวจสอบพบข้อบกพร่องอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisory) เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งเรื่อง

ว่ากันตามตรง...การที่ตลาดหุ้นไทยต้องอยู่ในสภาพของ “คนแคระ” ที่ไม่สามารถเติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น หลายอย่างล้วนเป็นปัญหาที่เกิดจากโบรกเกอร์ตัวแสบที่พยายามขุดหาช่องโหว่จากกฎหมายทางการเงินที่ล้าหลังของประเทศมาใช้เพื่อเอาเปรียบนักลงทุน...

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการการขายชอร์ต (Short Selling) เรื่องของการจำนำหุ้น (Margin Loan) การใช้โรบอตเทรด การใช้คำสังซื้อความเร็วสูง (High-Frequency Trading : HFT) หรือแม้แต่การเอาเปรียบนักลงทุนด้วยการปกปิดข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่นักลงทุนควรจะได้รับรู้ในเรื่องของ IPO เช่นในกรณีล่าสุดของ “พาย แอ๊ดไวเซอรี่”

ทั้งหมด...ล้วนมีต้นกำเนิดที่มาจาก “โบรกเกอร์เห็นแก่ได้” จนทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะตกต่ำจนนักลงทุนจำนวนมากต่างมองข้ามและหนีไปจากตลาดหุ้นไทยทั้งสิ้น

แน่นอน...นักลงทุนล้วนฝากความหวังเอาไว้กับผู้คุ้มกฎ (Regulator) ที่ควรจะมีความสามารถที่เท่าทันและสามารถป้องกันปัญหาได้

เจ๊เมาธ์บอกเลยว่าที่ทำได้แค่ตามจับไม่ช่วยอะไรนักลงทุนนะคะ ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว...

เงินก็เสียไปแล้ว ถึงจับได้นอกจากจะลงโทษเบาๆ ก็ไม่เห็นจะมีใครได้เงินที่เสียไปคืนกลับมา ดังนั้นถ้าที่ได้ก็ควรจะต้องทำให้ไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น

เพราะถ้าป้องกันไม่ให้เกิดเรื่อง...ก็ไม่มีผู้เสียหาย เรื่องมันก็มีเท่านี้เองเจ้าค่ะ