KEY
POINTS
เรื่องราวของ บมจ.การบินไทย (THAI) หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในนาม “เจ้าจำปี” ไม่ต่างไปจากที่เจ๊เมาธ์เคยคาดการณ์เอาไว้ ว่าการกลับมาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ฯ อีกครั้ง เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 หลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ จะทำให้การบินไทยกลับมาเป็นสมรภูมิความขัดแย้ง ของเหล่านักแสวงโชคอีกคำรบ
ปัญหาในการบินไทยเริ่มลุกลาม จากทั้งการปล่อยข่าวให้ร้าย สาด “ใบปลิว” เพื่อโจมตีกัน ส่งผลให้นักลงทุนเริ่ม “ระแวง” ว่าการบินไทยจะก้าวข้ามจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญครั้งนี้ได้หรือไม่ !!
ว่าแต่อะไรทำให้การบินไทยถูกดึงกลับไปสู่ “วงเวียน” ของความขัดแย้งอีกครั้ง...
อย่างแรก วาระการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ประจำปี 2568 ที่ฝ่ายจัดการกลับพยายามเสนอให้จัดเป็นการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ขึ้นแทน ทั้งนี้เนื่องจากการจัด AGM จะทำให้มีกรรมการต้องออกไปตามวาะจำนวน 1 ใน 3 (4 คน) โดยเลือกจากกรรมการที่อยู่มานานที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร และ พล.อ.อ.อำนาจ จีระมณีมัย ซึ่งเป็นกรรมการ 3 คน ที่อยู่มาตั้งแต่แผนฟื้นฟู มี 1 คนจะต้องออกไปโดยวิธีจับสลาก ในขณะที่ ที่ปรึกษากฎหมาย Baker ก็มีความเห็นว่า ควรจัดเป็น AGM เนื่องจากเป็นสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา : มาตรา 90/117 วรรคสอง ระบุชัดเจนว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ ผู้บริหารแผนต้องส่งมอบทรัพย์สิน ดวงตรา สมุดบัญชี และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินและกิจการของลูกหนี้ คืนแก่ลูกหนี้ หรือ ผู้บริหารของลูกหนี้โดยเร็วที่สุด ซึ่งอาจหมายความไปถึงว่านายปิยสวัสดิ์ นายชาญศิลป์ และ พล.อ.อ.อำนาจ ซึ่งเป็นกรรมการ 3 คนที่อยู่มาตั้งแต่แผนฟื้นฟู ถึงเวลาที่ควรปล่อยให้กรรมการชุดใหม่ เข้ามาดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวกับการบินไทยแล้วหรือไม่
อย่างที่สอง คือ การที่ “การบินไทย” ยังคงมีกรรมการบริษัทไม่ครบถ้วน อย่างที่ควรจะเป็น ทั้งนี้เนื่องจากหากต้องการดำรงความเป็นบริษัทที่มีหลักการบริหารกิจการที่ดี (Corporate Governance - CG) ตามระเบียบแล้ว การบินไทยสามารถตั้งกรรมการได้ถึง 15 คน จากปัจจุบันที่มีกรรมการเพียง 11 คน
ในขณะที่กรรมการชุดย่อยบางชุดกำหนดว่า จะต้องมาจากกรรมการอิสระทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถตั้งกรรมการชุดย่อยได้ครบ ตามที่ควรจะมี เช่น กรรมการตรวจสอบ การเพิ่มกรรมการใหม่อีก 4 คนจะเป็นกรรมการอิสระทั้งหมด เพื่อประโยชน์ของการบินไทยนั่นเอง ถ้าว่ากันตามหลักนี้ควรเพิ่มกรรมการอิสระให้ห้ครบได้แล้วหรือไม่
อย่างที่สาม ดูเหมือนจะเป็นเรื่อง “คาบเกี่ยว” มาตั้งแต่ช่วงที่การบินไทยยังไม่หลุดออกมาจากแผนฟื้นฟูฯ โดยในช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงท้ายๆ ของที่ผู้บริหารแผน ได้มีความพยายามเสนอให้เช่าเครื่องบิน Airbus A330-200 มาแทนเครื่องบิน Boeing 777 ที่มีโอกาสจะส่งมอบล่าช้าไปถึงปี 2570 ทั้งนี้ประเด็นของปัญหาคือ เครื่องบิน 2 รุ่นนี้ทดแทนกันโดยตรงไม่ได้ เพราะเป็นคนละขนาด A330 บินได้ไกลสูงสุดประมาณ 7 ชั่วโมง ในขณะที่ 777 บินได้ไกลระดับ 10 ชั่วโมงขึ้นไป
นอกจากนี้ เครื่องบิน A330 ถือเป็นเครื่องบินเทคโนโลยีเก่า ตัวเครื่องเป็นโลหะอลูมิเนียมส่งผลให้มีน้ำหนักมาก ค่าซ่อมบำรุงสูง และเมื่อรวมกับเครื่องยนต์ที่ติดมาคือ Rolls Royce ทำให้เครื่องบินฝูงนี้กินน้ำมันหนักมาก โดยคาดว่า ค่าน้ำมันคิดเป็น 30% ของค่าใช้จ่าย ซึ่งหมายความว่า ถ้ายังเดินไปตามเกมนี้...การบินไทยอาจไม่สามารถที่จะสลัดหลุดออกไปจากกับดักของค่าใช้จ่าย ที่ไม่จำเป็นจะต้องจ่ายเหมือนที่เคยผ่านมา
เจ๊เมาธ์บอกไปตั้งนานแล้วว่า “การบินไทย” คือองค์กรที่เต็มไปด้วยความหอมหวาน...ใครๆ ได้ดอมดมแล้วยากจะตัดใจวางลงง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม สถานะปัจจุบันของการบินไทย เป็นบริษัทเอกชน มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่ชัดเจน ไม่ว่าผู้ถือหุ้นจะเป็นใครมาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารอื่นๆ หรือ สหกรณ์ออมทรัพย์ใดก็ตามที่ถือหุ้นอยู่ในการบินไทย ต่างก็มีความชอบธรรมในการส่งคนเข้ามาดูแลผลประโยชน์ของตน
เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนผ่าน...ก็ไม่ควรต้องจะมีใครมาเตะถ่วงการเดินหน้าเพื่อประโยชน์ของการบินไทยใดๆ ทั้งสิ้นอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเช่นนี้เจ้าค่ะ
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย..เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์