KEY
POINTS
เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 1 เดือน แห่งการสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อร่วมรำลึกถึงพระราชกรณียกิจที่มีคุณูปการยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในภาคชนบทของประเทศไทย ผู้เขียนจึงขออุทิศบทความนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน จากมุมมองของเศรษฐศาสตร์การพัฒนา
เมื่อเอ่ยถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในแง่มุมหนึ่งก็คือ การพัฒนาที่รักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน ในแง่มุมนี้ พระองค์ท่านทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกลและล้ำสมัย โดยจะเห็นได้จาก โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริ ที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อให้ชาวบ้าน “อยู่ร่วมกับป่าได้ โดยไม่ต้องทำลายป่า”
โดยเริ่มที่ อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยในสมัยนั้น และร่วมสมัยกับหนังสือ “Governing the Commons” โดย Elinor Ostrom เจ้าของรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ ที่เสนอแนวคิดเดียวกันว่า คนและธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันแบบเกื้อกูลกันอย่างสันติ และยั่งยืน
แต่โครงการของพระองค์ท่าน เป็นการสังเกตและลงมือทำจริง โดยชาวบ้านแต่ละครอบครัวได้รับจัดสรรพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับปลูกบ้านและทำกินรอบ ๆ ป่าไม้ที่พวกเขาช่วยกันดูแล เมื่อป่าฟื้น คนก็อยู่ได้ ซึ่งโครงการนี้ถือกำเนิดก่อนที่ประเทศไทย จะมีการขึ้นทะเบียนป่าชุมชนอย่างเป็นทางการ ที่อนุญาตให้ชาวบ้านที่ช่วยกันดูแลป่าอาศัยอยู่ในป่าได้ ร่วมทศวรรษ
นอกจากนั้น หนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อการเกิดการลงทุนและการพัฒนาในประเทศกำลังพัฒนา ก็คือ ความล้มเหลวในการประสานงานของแต่ละภาคส่วน (Rosenstein-Rodan, 1943) Murphy, Shleifer and Vishny (1989) ได้นำเสนอแบบจำลองที่แสดงให้เห็นว่า ถ้ามี “แรงผลักดันมหาศาล” ที่ช่วยประสานทำให้เกิดการเริ่มต้นของอุตสาหกรรมต่าง ๆ พร้อมกัน หรือมีการลงทุนที่จำเป็นต่อการผลิต มีการเกิดอุปสงค์และอุปทานต่อสินค้าต่าง ๆ พร้อม ๆ กันประเทศนั้น ๆ ก็จะไปอยู่ในจุดดุลยภาพที่มีการลงทุนและรายได้ที่สูงขึ้น
โดยปกติแล้ว นโยบายจากภาครัฐที่สร้าง “แรงผลักดันมหาศาล” อาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่ความโชคดีของประเทศไทยก็คือ เรามีโครงการในพระราชดำริหลายโครงการ ที่เข้ามาเป็น “แรงผลักดันมหาศาล” ที่ก่อให้เกิดการพัฒนา และแก้ไขปัญหาความล้มเหลวในการประสานงานอย่างครบวงจร และหนึ่งในโครงการนั้น ก็คือ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ มีจุดเริ่มต้นจากการเสด็จพระราชดำเนินไปยังจังหวัดนครพนม ในปี พ.ศ. 2513 โดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชฯ มีพระราชปรารภว่า การแจกของแก่ผู้ประสบภัยเปรียบเสมือนโยนหินก้อนเล็กลงแม่น้ำ จึงควรหางานให้พวกเขาทำเพื่อให้มีรายได้อย่างสม่ำเสมอ
ขณะนั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทอดพระเนตร เห็นสตรีชาวบ้านทุกคนนุ่งซิ่นไหมมัดหมี่ ซึ่งทอไว้ใส่กันเอง มิได้จำหน่าย ทรงเล็งเห็นว่าชาวบ้านมีฝีมือในงานหัตถกรรมอยู่แล้ว จึงมีพระราชดำริส่งเสริมอาชีพทอผ้าไหมมัดหมี่เป็นอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว โดยพระองค์ทรงรับซื้อไว้ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพที่สนับสนุนหัตถกรรมไทยอย่างครบวงจร
เริ่มจากมีการตั้งโรงฝึกศิลปาชีพ สำหรับฝึกหัดหัตถกรรมแขนงต่าง ๆ นอกจากเป็นการอนุรักษ์ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่น จากมุมมองเศรษฐศาสตร์พัฒนา ยังถือเป็นการเพิ่มทั้ง ทุนทางกายภาพ ที่ชาวบ้านไม่มีกำลังทรัพย์ลงทุน และ ทุนมนุษย์ ซึ่งเป็นความรู้และทักษะที่ฝังอยู่ในแต่ละบุคคลที่ก่อให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพการผลิต ในขณะที่อุปทานเพิ่มขึ้น พระองค์ท่านก็สร้างอุปสงค์สำหรับสินค้าหัตถกรรมเหล่านี้ด้วย ทรงสวมใส่ฉลองพระองค์จากผ้าไหมและผ้าทอพื้นบ้านที่สมัยนั้น กำลังเป็นสิ่งล้าสมัย
ไม่ใช่แค่ภายในประเทศ แต่เมื่อเสด็จเยือนต่างประเทศด้วย ด้วยพระสิริโฉมและฉลองพระองค์ที่งดงาม ทำให้ผ้าไหมและหัตถกรรมพื้นบ้านจากพระราชนิยม ก็กลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมผู้คนในสังคม เกิดความต้องการสินค้าทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศ ไม่ใช่แต่เฉพาะสินค้าจากมูลนิธิศิลปาชีพเท่านั้น ยังเกิดผลกระทบทางอ้อมที่ดี ไปยังผู้ผลิตหัตถกรรมไทยอื่น ๆ อีกด้วย
จน ณ ปัจจุบัน ยอดสินค้าหัตถกรรมส่งออกจากปี พ.ศ. 2566 มีมูลค่าถึงประมาณ 284,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเริ่มแรกนั้น หากปราศจากอุปสงค์ ก็จะไม่มีแรงจูงใจให้คนหันมาให้ความสนใจในการเข้าร่วมลงทุนมนุษย์ทางด้านหัตถกรรม หากปราศจากอุปทาน สินค้าเหล่านั้นก็อาจมีราคาสูงเกินไป อาจทำให้ได้รับความนิยมน้อยกว่าที่เป็นอยู่
ดังนั้น การพัฒนาที่จะเกิดผลอย่างยั่งยืน จึงต้องการการขับเคลื่อนทุกด้านไปพร้อม ๆ กัน “แรงผลักดันมหาศาล” จากสายพระเนตรอันยาวไกล เป็นแรงขับเคลื่อนที่มอบชีวิตให้แก่ภาคหัตถกรรมของไทย สร้างอาชีพ พัฒนาแรงงาน อุปสงค์ที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนยังช่วยชุบชีวิตให้ศิลปะไทย และภูมิปัญญาท้องถิ่นพัฒนาเป็นทุนทางวัฒนธรรม ที่ก่อให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวได้อีกด้วย
นอกจากนั้น รายได้จากมูลนิธิศิลปาชีพ ยังได้ถูกนำมาใช้ช่วยเหลือและสร้างงานให้พสกนิการที่ยากจนผ่านโครงการอื่น ๆ ด้วย เช่น โครงการฟาร์มตัวอย่าง เช่น ที่อำเภอ สวนผึ้ง จังหวัด ราชบุรี ที่ทรงหวังว่า จะเป็นแหล่งผลิตอาหารสำหรับคนยากจน และมีการจ้างแรงงานด้วยค่าแรงที่ดี เพื่อให้เขาเลี้ยงดูครอบครัวได้
จนทำให้ผู้ช่วยเหลือของพระองค์ท่านปรารภว่า ถ้าทรงจ่ายอย่างนี้ เดี๋ยวจะทำให้มูลนิธิศิลปาชีพขาดทุน จึงเป็นที่มาของพระราชดำรัสอันจับใจ ที่ว่า
“ขออย่ามาพูดกับฉันเรื่องกำไรขาดทุนในการจัดทำโครงการ เพราะถึงแม้โครงการส่งเสริมศิลปาชีพจะขาดทุน แต่แผ่นดินจะมีกำไร แผ่นดินไทย เพราะการที่แผ่นดินมีคนที่มีงานทำ มีประชาชนที่มีความสุข มีความเป็นอยู่ที่ดี ก็เป็นของที่พวกเราต้องการกัน”
พระราชกรณียกิจที่มีคุณูปการยิ่งต่อการพัฒนา เป็นที่ประจักษ์ ประทับอยู่ในจิตใจของประชาชนชาวไทย และสร้างแรงบันดาลใจ อีกทั้งยังได้รับการยกย่องจากนานาชาติ เช่น ในปี พ.ศ. 2522 ทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญเซเรส จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) อันเนื่องมาจากการที่ทรงช่วยเหลือสตรีในชนบทให้มีรายได้ ช่วยยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ถึงแม้ว่าจะทรงถ่อมพระองค์สักเพียงใดก็ตาม ดังเห็นได้จากพระราชดำรัสต่อไปนี้
"ความจริงที่ข้าพเจ้ามีกำลังใจและกำลังกาย ที่จะปฏิบัติหน้าที่รับใช้บ้านเมือง ก็เนื่องด้วยเหตุนึกถึงคำของพ่อที่สอนมาตั้งแต่เล็กๆ และก็เมื่อแต่งงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงสอนตลอดมาว่า แผ่นดินนี้มีคุณ มีบุญคุณแก่ชีวิตของพวกเรามากมายนัก เพราะฉะนั้นชีวิตที่เกิดมานี้อย่าได้ว่างเปล่า จงตอบแทนให้รู้สึกตัวเสมอว่าเป็นหนี้บุญคุณ…
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้า รู้สึกว่าทำงานเท่าไรก็ยังไม่คุ้ม ยังไม่สมกับที่บรรพบุรุษของเผ่าไทยทั้งหลายผู้มีพระคุณ ผู้ที่ได้ปกป้องยึดผืนแผ่นดินนี้ได้มาตลอด แล้วดูตามประวัติศาสตร์แล้ว ท่านทั้งหลายได้ประสบความทุกข์ยากอย่างมากมาย ท่านทั้งหลายก็แน่วแน่ในปณิธานที่จะทำนุบำรุงผืนแผ่นดินนี้ไว้ให้เป็นแผ่นดินที่ร่มเย็น เป็นแผ่นดินที่ทุกคนมีอิสระเสรีที่จะมีความเชื่อถือในศาสนาใดก็ได้
มีความสงบสุขอยู่ในศาสนาของตนโดยที่ไม่มีการข่มเหงรังแกบีบคั้น อันนี้เป็นลักษณะประเสริฐของบรรพบุรุษของไทยทั้งหลาย ซึ่งข้าพเจ้าอยากขอให้ทุกท่านนำคำพูดของข้าพเจ้าไปคิดดูให้ดี แล้วก็จะเห็นว่าข้าพเจ้านั้นไม่ได้ดีวิเศษอะไรเลย เพียงแต่ว่าเมื่อนึกถึงพระคุณอย่างนี้แล้ว ก็ต้องยิ่งพยายามที่จะทำให้สุดความสามารถ..."
เอกสารอ้างอิง:
Murphy, Kevin M., Andrei Shleifer, and Robert W. Vishny. "Industrialization and the big push." Journal of political economy 97, no. 5 (1989): 1003-1026.
Rosenstein-Rodan, Paul N. "Problems of industrialisation of eastern and south-eastern Europe." The economic journal 53, no. 210-211 (1943): 202-211.