KEY
POINTS
หนี้นอกระบบเป็นปัญหาเก่าแก่และเรื้อรังของสังคมไทย แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนี้นอกระบบได้ปรากฏโฉมใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น และเชื่อมโยงเข้ากับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างแนบแน่นกว่าที่เคย
งานวิจัยล่าสุดของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย ได้ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลกว่า 5,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ พร้อมสัมภาษณ์เชิงลึกทั้งผู้กู้และผู้ปล่อยกู้นอกระบบ ซึ่งทำให้เห็นภาพที่สมบูรณ์ขึ้นว่า หนี้นอกระบบไม่ได้เป็นปัญหาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นผลลัพธ์จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบเศรษฐกิจที่เปราะบาง ระบบแรงงานที่ไม่มั่นคง และ เงื่อนไขการเข้าถึงสินเชื่อของภาคการเงินไทย ที่ยังไม่รองรับชีวิตจริงของผู้คนจำนวนมาก
สิ่งแรกที่งานวิจัยชี้ให้เห็นคือ ขนาดของหนี้นอกระบบนั้นใหญ่กว่าที่หลายหน่วยงานเคยประเมินเอาไว้มาก หากใช้ “นิยามที่เป็นจริงในชีวิตประจำวัน” ซึ่งรวมถึงการกู้ยืมระหว่างคนรู้จัก การหมุนเงินแบบปากเปล่า หรือการกู้เงินดอกเบี้ยต่ำแบบไม่เป็นทางการ จะพบว่าหนี้นอกระบบของไทยอาจสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท หรือ ประมาณร้อยละ 13 ของหนี้ครัวเรือนทั้งประเทศ
ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า หนี้นอกระบบไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะหนี้ดอกเบี้ยโหด หรือ หนี้สีเทาเท่านั้น แต่รวมถึงรูปแบบการพึ่งพาทางการเงินที่คนไทยจำนวนมากใช้ประคองชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในภาวะที่รายได้ไม่แน่นอน หรือสถานการณ์ที่สินเชื่อในระบบเข้าถึงได้ยาก
ในความเป็นจริง ผู้กู้หนี้นอกระบบส่วนใหญ่ คือ แรงงานนอกระบบ พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย เกษตรกร หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ การไม่มีสลิปเงินเดือน ไม่มีหลักประกัน หรือ ไม่มีประวัติทางการเงิน ทำให้พวกเขาไม่สามารถกู้เงินกับธนาคารได้
แม้แต่คนที่มีงานประจำและมีรายได้ประจำ ก็ยังพบว่า ตนเองต้องหันไปพึ่งหนี้นอกระบบในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินทันที หรือ มีค่าใช้จ่ายเร่งด่วน ซึ่งไม่สามารถรอขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อในระบบที่ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ได้
น่าสนใจว่า การกู้หนี้นอกระบบ ไม่ใช่การบริโภคฟุ่มเฟือยอย่างที่สังคมมักเข้าใจ ผลการสำรวจพบว่า วัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ของการกู้นอกระบบนั้น แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ และการทำมาหากิน เช่น การซื้อวัตถุดิบ การหมุนเวียนเงินสดเพื่อให้ร้านค้าดำเนินไปต่อได้ หรือใช้แก้ปัญหาสภาพคล่องเฉพาะหน้า เพื่อไม่ให้กิจการหยุดชะงัก
ในหลายกรณี การกู้ยืมเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนสามารถยังชีพ ทำงาน และรักษาเสถียรภาพทางการเงินของครอบครัวได้ แม้ว่าค่าใช้จ่ายทางดอกเบี้ยจะสูงและมีความเสี่ยงในระยะยาวก็ตาม
อีกมิติหนึ่งที่สำคัญและมักถูกมองข้ามคือ บทบาทของ “ความสัมพันธ์ทางสังคม” ในตลาดหนี้นอกระบบ ระบบนี้ไม่ได้ทำงานด้วยตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ทำงานผ่านความเชื่อใจ ความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน และความกลัวเสียหน้าในพื้นที่ใกล้ชิด ลูกหนี้จำนวนมากเลือกที่จะจ่ายหนี้นอกระบบก่อน แม้ว่าดอกเบี้ยจะสูงกว่า เพราะกลัวว่าหากผิดนัด จะสูญเสียช่องทางกู้ยืมในอนาคต หรือถูกสังคมรอบข้างตีตรา
ปรากฏการณ์นี้ ทำให้เครดิตทางสังคมในชุมชนมีน้ำหนักมากกว่าระบบเครดิตสกอร์ที่ใช้ในสถาบันการเงิน ซึ่งทำให้หนี้ในระบบกลายเป็นหนี้ที่ลูกหนี้ให้ความสำคัญในลำดับรองลงไป นำไปสู่ปัญหาหนี้เสียในสถาบันการเงินที่ลดลงได้ยาก
หนึ่งในวงจรที่น่ากังวลมากที่สุดคือ “การโยกเงิน” ระหว่างหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ ครัวเรือนจำนวนมากสลับกู้สองระบบไปมาเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องรายเดือน เช่น กู้ในระบบเพื่อไปปิดหนี้นอกระบบ และอีกไม่กี่สัปดาห์ให้หลัง ก็จำเป็นต้องกู้นอกระบบอีกครั้ง เพื่อจ่ายหนี้ในระบบ วงจรนี้เกิดขึ้นเพราะรายได้ของพวกเขาไม่สม่ำเสมอ
ขณะที่ระบบหนี้ในระบบต้องการวันชำระเงินที่แน่นอน เจ้าหนี้นอกระบบจำนวนหนึ่ง ยังประเมินวงเงินปล่อยกู้จากความสามารถในการกู้ในระบบของลูกหนี้อีกด้วย ทำให้ผู้กู้ที่กู้ในระบบได้มาก กลายเป็นผู้ที่สามารถกู้นอกระบบได้มากเช่นกัน วงจรหนี้จึงซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ และซับซ้อนกว่าที่มองเห็นจากภายนอก
เจ้าหนี้นอกระบบเองก็มีความหลากหลายมากกว่าที่หลายคนคิด จากการศึกษาพบตั้งแต่คนในชุมชนที่ปล่อยกู้ เพราะต้องการช่วยเหลือคนรู้จัก ไปจนถึงนายทุนรายใหญ่ที่ทำธุรกิจปล่อยเงินกู้เป็นอาชีพ มีกลุ่มตัวแทนที่รับทุนจากนายทุน แล้วนำไปปล่อยต่อเพื่อกินส่วนต่าง และมีผู้เล่นบางรายที่ทำกำไรด้วยกลยุทธ์ทางการเงิน
เช่น การทำ arbitrage ระหว่างอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อในระบบ กับดอกเบี้ยนอกระบบที่สูงกว่ามาก ในยุคที่สภาพเศรษฐกิจไม่ดี รายได้จากการลงทุน หรือ ทำธุรกิจลดลง เจ้าหนี้บางรายพบว่า การปล่อยเงินกู้ในชุมชนให้ผลตอบแทนสูง และมีความเสี่ยงต่ำกว่าทำธุรกิจอื่น จึงทำให้ตลาดนี้เติบโตต่อเนื่อง
ผลกระทบต่อระบบธนาคาร และเสถียรภาพการเงินของประเทศ จึงไม่อาจมองข้ามได้ หนี้นอกระบบเป็นข้อมูลที่ธนาคารมองไม่เห็น ทำให้ประเมินความเสี่ยงของผู้ขอกู้ได้ไม่แม่นยำ
เมื่อประกอบกับพฤติกรรมลูกหนี้ ที่ให้ความสำคัญกับการจ่ายหนี้นอกระบบ ก่อนหนี้ในระบบ เพราะกลัวเสียเครดิตสังคม ยิ่งทำให้ธนาคารต้องเผชิญกับหนี้เสียที่ปรับลดได้ช้า ความสามารถในการฟื้นตัวของลูกหนี้ลดลง และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของภาคการเงินโดยรวมในระยะยาว
นอกจากนี้ เงินที่หมุนเวียนอยู่ในระบบหนี้นอกระบบ ไม่ได้ก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจใหม่อย่างแท้จริง จึงเป็นเพียงการเคลื่อนย้ายเงินในหมู่ครัวเรือน โดยไม่มีส่วนในการสร้างมูลค่าเพิ่มหรือเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจของประเทศ
สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้มีรายได้น้อย แรงงานอิสระ และผู้ประกอบอาชีพอิสระจำนวนมากสูญเสียรายได้ทันที ขณะที่สถาบันการเงินยกระดับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้การเข้าถึงสินเชื่อในระบบยากขึ้นไปอีก
ผู้คนจึงหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบที่อนุมัติเร็ว แม้จะต้องแลกกับดอกเบี้ยสูง ผลลัพธ์คือ ผู้กู้จำนวนมากตกอยู่ในวงจรหนี้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต้องกู้เพิ่มเพื่อชำระดอกเบี้ยเก่าที่สูงขึ้น จนกลายเป็นภาระที่แทบหลุดพ้นไม่ได้
แม้โครงการวิจัยจะไม่ได้มีเป้าหมายในการออกแบบนโยบายเชิงโครงสร้างที่ละเอียดครบถ้วน แต่ได้นำเสนอแนวทางสำคัญสามด้าน ที่ภาครัฐและสถาบันการเงิน สามารถนำไปพัฒนาต่อได้จริงในระยะสั้น
แนวทางแรก คือ ความร่วมมือระหว่างเจ้าหนี้ในระบบและนอกระบบ หรือ ที่เรียกว่า Formal–Informal Partnership แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนการยอมรับความจริงว่า เจ้าหนี้นอกระบบมีข้อมูลเชิงสังคมและความเข้าใจบริบทชีวิตของลูกหนี้ มากกว่าสถาบันการเงินในระบบ
ในขณะที่ธนาคารเองมีศักยภาพด้านต้นทุน ด้านความโปร่งใส และมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ปลอดภัยกว่า หากทั้งสองระบบสามารถทำงานร่วมกัน เช่น การสร้างระบบสินเชื่อสองชั้นที่เปิดให้เจ้าหนี้ชุมชนเป็นผู้คัดกรองลูกหนี้ แล้วส่งต่อให้ธนาคารปล่อยสินเชื่ออย่างเป็นทางการ ก็จะช่วยให้ลูกหนี้รายย่อยสามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกันธนาคารก็สามารถขยายฐานลูกค้าได้โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงจนเกินไป
แนวทางที่สอง คือ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อสร้าง “เครดิตสกอร์ทางเลือก” สำหรับกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่มีประวัติทางการเงินในระบบ การเชื่อมต่อข้อมูลรายได้ การใช้จ่าย โทรคมนาคม และข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล สามารถช่วยให้ธนาคารประเมินศักยภาพของลูกหนี้ได้ดีขึ้น
กระบวนการยืนยันตัวตนแบบ e-KYC และ Digital ID จะช่วยให้การอนุมัติสินเชื่อเกิดขึ้นเร็วขึ้น ลดต้นทุน และ โปร่งใสมากขึ้น เมื่อธนาคารสามารถเห็นข้อมูลลูกหนี้ที่แท้จริงได้มากขึ้น ก็จะเปิดโอกาสให้ผู้กู้ที่เคยถูกมองข้ามสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น
แนวทางสุดท้าย คือ การพัฒนาสินเชื่อรายย่อยฉุกเฉินหรือ Micro Emergency Loan ซึ่งเป็นสินเชื่อวงเงินไม่มาก ดอกเบี้ยต่ำ และให้กู้ได้อย่างรวดเร็วผ่านโทรศัพท์มือถือ สินเชื่อประเภทนี้มีศักยภาพสูงในการป้องกันไม่ให้ผู้มีรายได้น้อย เข้าสู่ตลาดหนี้นอกระบบตั้งแต่แรก
เพราะปัญหาหนี้นอกระบบจำนวนมาก เกิดขึ้นจากความจำเป็นทางการเงินเพียงไม่กี่พันบาทที่เกิดขึ้นกะทันหัน หากสถาบันการเงินสามารถตอบสนองความจำเป็นประเภทนี้ได้ทันท่วงที ก็จะช่วยตัดวงจรหนี้ก่อนที่จะลุกลามไปสู่ปัญหาใหญ่ในระยะยาว
ท้ายที่สุด ปัญหาหนี้นอกระบบไม่ใช่เพียงปัญหาการกู้ยืมของปัจเจกบุคคล แต่เป็นภาพสะท้อนของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่ยังมีแรงงานนอกระบบจำนวนมาก ระบบข้อมูลทางการเงินที่ไม่ครอบคลุมพฤติกรรมชีวิตจริงของผู้คน และระบบสินเชื่อในระบบที่ยังยืดหยุ่นไม่พอสำหรับอาชีพรูปแบบใหม่ ๆ
ภาครัฐ ธนาคารพาณิชย์ และสมาคมธนาคารไทย จึงมีบทบาทสำคัญในการร่วมกันยกระดับตลาดสินเชื่อไทยให้โปร่งใส ยืดหยุ่น และตอบโจทย์ชีวิตจริงมากขึ้น
หากเราสามารถออกแบบระบบการเงินที่ “มองเห็น”คนที่ระบบไม่เคยมองเห็น โดยผสานข้อมูลเชิงพฤติกรรม ข้อมูลเชิงสังคม และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าด้วยกันได้ ปัญหาหนี้นอกระบบซึ่งเป็นภาระของคนไทยจำนวนมาก ก็จะค่อย ๆ ลดลง เปิดโอกาสให้ผู้กู้สามารถหลุดพ้นจากวงจรหนี้ และทำให้ระบบการเงินทั้งประเทศมีเสถียรภาพที่เข้มแข็งมากขึ้นในอนาคต