KEY
POINTS
บทความนี้ได้ถูกเขียนในช่วงที่สถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชากำลังคุกกรุ่น และมีประเด็นดราม่าที่เกี่ยวกับชาตินิยมเกิดขึ้นแทบรายวัน เริ่มตั้งแต่ปฏิบัติการ “เสียงหลอน” ในพื้นที่ จ.สระแก้ว ที่มี คุณกัน จอมพลัง เป็นหัวแรงใหญ่
นำไปสู่ข้อวิจารณ์จากมุมสิทธิมนุษยชนของ คุณอังคณา จนเกิดเป็นการถกเถียงฟาดฟันระหว่างความเห็นต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งกระแสก็ยิ่งโหมหนักเมื่อ คุณกัน จอมพลัง และ อดีต ส.ส.มัลลิกา ได้เป็นแขกไปออกรายการโหนกระแสเพื่อโต้ตอบมุมมองของนักสิทธิฯ และชี้แจงการเข้าไปทำงานในพื้นที่ชายแดน
แต่กระแสได้พลิกขั้วเนื่องจากเนื้อหาและคำพูดสวนทางกับหลักมนุษยธรรมของผู้ร่วมรายการ จน คุณหนุ่ม กรรชัย ต้องออกมาขอโทษประชาชน (แต่ต้นเรื่องอีกสองคนก็ไม่เคยขอโทษใคร หรือ ผู้ที่ถูกพาดพิงใดๆ)
จากนั้นก็เกิดการวิจารณ์และขุดคุ้ยมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ จนกลายเป็นดราม่าคู่ใหม่ระหว่าง คุณกัน และ ส.ส.รักชนก นำไปสู่การตั้งคำถามมากมายต่อบทบาทที่ควรเป็นของอินฟลูเอนเซอร์ อภิสิทธิ์จากการอยู่ในเครือข่ายนักการเมือง รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่ทำลงไปซึ่งอาจดูเหมือนเป็น “ฮีโร่” แต่ก็ไม่น่าบรรเทาปัญหาเชิงโครงสร่างระหว่างไทย-กัมพูชา ได้แก่ เนื้อหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กิจกรรมสแกมเมอร์ ที่มีกระบวนการข้ามชาติที่ซับซ้อน ฯลฯ
การ “นิยมชาติ” หรือ การที่ผู้คนคิดว่าการถือประโยชน์เอาเรื่องของประเทศเราเป็นสำคัญ (คนอื่นหรือประเทศก็ช่างมัน) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวข้างบน ก็อาจถือว่าเป็นคุณลักษณะหนึ่งของความเป็น “ชาตินิยม” และเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่มักนำพาไปสู่การทะเลาะ ข้อพิพาท และความขัดแย้ง ให้เห็นกันประจำ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่จะมาชวนคุยในวันนี้ ขอไม่เน้นดราม่าข้างบน แต่อยากชวนคิดต่ออีกนิดว่าความเป็นชาตินิยม (ในความหมายที่กว้างกว่านิยมชาติ) มันมีศักยภาพบางอย่างที่จะทำอะไรเพื่อเศรษฐกิจได้บ้างเหมือนกัน
ชาตินิยมเป็นแนวคิดที่มีข้อถกเถียงกว้างขวาง การนิยามก็ค่อนข้างยากเพราะมีความยืดหยุ่นสูง อีกทั้งยังสามารถเชื่อมตัวเองโยงกับอุดมการณ์ต่างๆ ได้หลากหลาย (ชาตินิยมแบบอนุรักษ์นิยม ชาตินิยมแบบเสรีนิยม ชาตินิยมแบ่งแยกดินแดน ฯลฯ) กระนั้นเราอาจพยายามนิยามชาตินิยมด้วย 3 มุมมอง
โดยอันแรกมองว่า ชาตินิยมเป็นเรื่องของพฤติกรรมกลุ่ม (collective action) ได้แก่ การเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือ นโยบายรัฐต่างๆ เพื่อผลักดันผลประโยชน์ และ/หรือ พูดในนามของชาติที่ตนเป็นตัวแทน เรียกได้ว่าเป็นมุมมองเชิงพฤติกรรม (behavioral approach) ข้อต่อมา ชาตินิยมมีลักษณะของภาวะอารมณ์ ที่ทำเกิดความรู้สึกว่าเป็นพรรคพวกในชุมชนชาติเดียวกัน เรียกได้ว่า เป็นมุมมองเชิงความรู้สึก (affective approach)
และข้อสุดท้าย คือ ชาตินิยมเชิงคิดรู้ (cognitive nationalism) อันเป็นผลจากการที่วาทกรรมต่างๆ ได้สร้างความหมายเฉพาะ และกำหนดวิธีการคิดและมองโลกเกี่ยวกับการระบุตัวตนและอัตลักษณ์ความเป็นส่วนรวมของชาติ
โดยทั่วไปทั้งสามมุมมองมีความเกี่ยวข้องไม่ได้แยกขาดกันอย่างอิสระ เช่น ประกาศจากทางการให้หน่วยงานต่างๆ ลดธงครึ่งเสาในช่วงไว้อาลัยสมสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ถือเป็นการแสดงชาตินิยมเชิงพฤติกรรม ที่มีความรู้สึกร่วมเศร้าโศกกับการสวรรคต และถือเป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทย ที่ความหมายของชาติมีการผูกโยงกับสถาบันกษัตริย์ (ซึ่งแตกต่างจากประเทศแบบสาธารณรัฐ) เป็นต้น
ชาตินิยมดูเหมือนเป็นเรื่องที่เน้นด้านการเมือง แต่จริงๆ แล้วมันเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาค และ จุลภาค ตัวแปรเศรษฐกิจมหภาค เช่น สกุลเงิน (currency) และ GDP จริงๆ แล้วก็เป็นเครื่องมือชาตินิยมเช่นกัน ทั้งคู่เป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นระบบสถาบัน (institutionalized) กลายเป็นจินตภาพแห่งพื้นทางเศรษฐกิจ (economic space) ให้ผู้คนได้นึกถึงร่วมกัน (ซึ่งจริงๆแล้วรายได้ทางเศรษฐกิจเป็นตัวแปรแบบกระแส มีพลวัตตลอดและไม่มีกายภาพ)
รวมไปถึงรับรู้อันดับทางเศรษฐกิจของชาติตนเองในระดับโลกร่วมกัน หรือในระดับจุลภาค ที่สินค้าด้านการผลิตและบริการบางอย่าง ก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจ หรือตัวแทนอุตสาหกรรมได้ เช่น ต้มยำกุ้งของไทย ฟิชแอนด์ชิปส์ของอังกฤษ และ จิงโจ้ของออสเตรเลีย
ที่พูดข้างต้นก็คงเข้าข่ายเรื่องชาตินิยมในเศรษฐกิจประจำวัน แต่ชาตินิยมสามารถทำได้มากกว่านั้น โดยเฉพาะที่เป็นปฏิบัติการทางนโยบายเศรษฐกิจตามวาระต่างๆ นโยบาย “America First” ก็มีความเป็นชาตินิยม แต่มันก็ไม่ใช่ชาตินิยมโดดๆ อย่างน้อยมันก็เกี่ยวพันกับลัทธิผู้ผลิต (producerism)
ด้วยความเชื่อว่า มาตรการภาษีโต้ตอบ (reciprocal tariffs) เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ผลิตในประเทศและคนในประเทศ มากกว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบรรษัท และอำนาจต่างชาติ (แต่ผลของภาษีอาจไม่ทำให้ผู้ผลิตในประเทศได้ประโยชน์จริงๆก็ได้) หรือ กระแสการต่อต้านผู้อพยพในหลายๆ ประเทศ ทั้งในทวีปยุโรป และอเมริกาเหนือ ก็มาพร้อมความกังวลว่า ทำให้เกิดการแย่งงาน และ ความไม่พอใจที่ต้องแบ่งทรัพยากรร่วมกับผู้อพยพ
ดังนั้น ชาตินิยมจึงสามารถเป็นพลังในการผลักดันเศรษฐกิจได้ แต่จะเป็นทางที่ดีหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ เราอาจตั้งสมมติฐานได้ว่า หากชาตินิยมสร้างอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมของประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ย่อมกลายเป็นกำลังให้เอาชนะความแตกต่างและแบ่งแยก ทำให้ผู้คนสามารถจินตนาการถึงการเลื่อนฐานะทางสังคมได้ นำไปสู่การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของมวลชนอย่างแข็งขัน
ความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีในชาติเป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้เกิดการใส่ใจในกิจกรรมการผลิต ที่เชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ของชาติ ซึ่งเป็นพลังกระตุ้นการแข่งขันทางเศรษฐกิจในเวทีระดับโลก และอาจมีผลต่อการยกระดับอุตสาหกรรมของชาติได้ ชาตินิยมอาจเป็นพลังที่สร้างแรงจูงใจให้พัฒนาระบบสวัสดิการ หากหลักการเรื่องความสมานฉันท์ (solidarity) สามารถส่งไปถึงสมาชิกอย่างทั่วถึง
แต่อีกด้านหนึ่ง ชาตินิยมที่มีการแยกเขาแยกเรา (เช่น แยกคนที่คิดต่างว่าไม่รักชาติ ไม่ใช่สมาชิกของชาติ หรือ แยกคนด้วยชาติกำเนิด ชาติพันธุ์ หรือ ศาสนา) อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เกิดความลำเอียงเห็นแต่ประโยชน์ของพวกตน (in-group favoritism) การขับไส (exclusion) สงครามและการทำลาย ซึ่งเราเห็นมามากมายในหน้าประวัติศาสตร์
อันที่จริง นักวิชาการเห็นตรงกันว่า ความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชาตินิยม กับ การพัฒนาเศรษฐกิจ ยังคงจำกัดอยู่มาก งานวิจัยหลายชิ้นเสนอให้ควรศึกษามากขึ้นว่า ชาตินิยมแบบใดและถูกกระทำในเงื่อนไขแบบไหน ถึงทำให้เกิดการปรับกระแสเป็นเรื่องเศรษฐกิจการเมืองระดับชาติ หรือทำให้เกิดนโนบายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว
จริงๆ แล้วกรณีของไทยไม่ใช่ว่าไม่เคยมี เพราะในช่วงวิกฤติ 2540 เราก็ได้เห็นปฏิกิริยาโต้ตอบผลพวงของการพัฒนาตามตัวแบบเสรีนิยมทางเศรษฐกิจที่ขาดความระมัดระวัง ด้วยชาตินิยมที่พ่วงท้องถิ่นนิยม กระนั้น ในช่วงการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศที่ผ่านมา เรายังไม่เห็นชาตินิยมที่เป็นพลังผลักดันอย่างยั่งยืน ที่สามารถยกระดับชาติเป็นเศรษฐกิจขั้นสูงได้ (advanced economy)
แน่นอนว่า การกระทำเช่นนั้นได้ย่อมเกี่ยวพันปัญหาซับซ้อนในการพัฒนาขีดความสามารถทางสถาบัน (institutional capacity) เพื่อปรับให้รัฐมีบทบาทในการบริหารให้ได้ผลเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็งได้ และแน่นอนว่า ลำพังข้อขัดแย้งระหว่างผู้นิยมชาติตามหน้าสื่อตอนนี้ก็คงไม่พอที่จะเป็นแรงแห่งเศรษฐกิจได้
หรือจริงๆ แล้ว ข้อสงสัยอาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด อยู่ ณ จุดตั้งต้นที่ประเทศเราไม่ได้ปลูกฝังประวัติศาสตร์รัฐ-ชาติสมัยใหม่ ที่ให้คุณค่ากับประชาชน และมองว่า ทุกคนเป็นสมาชิกของชาติอย่าง “เท่าเทียม” หรือเปล่า?
คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย...รศ.ดร.นรชิต จิรสัทธรรม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4146