ทำไมเงินบาทแข็ง... คำถามที่ตอบยาก

12 พ.ย. 2568 | 07:06 น.
อัปเดตล่าสุด :12 พ.ย. 2568 | 07:19 น.

ทำไมเงินบาทแข็ง... คำถามที่ตอบยาก : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย...รศ.ดร.พรชนก คัมภีรยส คูเวนเบิร์ค คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4148

KEY

POINTS

  • การแข็งค่าของเงินบาทมีความซับซ้อน และดูเหมือนจะสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ
  • อัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจปัจจุบันเท่านั้น แต่ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากการคาดการณ์อนาคตของตลาด ซึ่งอ่อนไหวต่อข่าวสารและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • การอธิบายสาเหตุที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ทำให้คำอธิบายส่วนใหญ่เป็นเพียงการคาดเดา

ตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปีนี้ เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องจากประมาณ 34 บาทต่อหนึ่งเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 31.7 บาท ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้เห็นมาหลายปี และแม้จะกลับอ่อนค่าลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ราวๆ 32.5 บาทในปัจจุบัน การแข็งค่าของเงินบาทเกือบ 5.5% นับจากต้นปีดูขัดกับภาวะเศรษฐกิจการเมืองของไทยที่ขาดปัจจัยบวก จึงนำไปสู่คำถามที่ได้ยินบ่อยในช่วงที่ผ่านมา “ทำไมเงินบาทแข็ง” 

แต่ในช่วงเดียวกัน หากพิจารณาเทียบกับเงินสกุลอื่น ปีนี้เงินบาทอ่อนค่าไปประมาณ 5.7% เมื่อเทียบกับเงินยูโร คือจาก 35.2 บาท เมื่อต้นปีมาอยู่ที่ 37.3 บาท และเมื่อเทียบกับเงินเยนของญี่ปุ่นและเงินหยวนของจีน เงินบาทแข็งค่าประมาณ 3% นับจากต้นปี แม้มีช่วงที่อ่อนค่ารุนแรงเกือบ 10% เทียบกับเงินเยนในเดือนเมษายน อะไรคือสาเหตุทำให้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลง...

นักเศรษฐศาสตร์ถามคำถามนี้มาตั้งแต่การล่มสลายของระบบการเงิน Bretton Woods ในปี ค.ศ.1971 เมื่อประเทศต่างๆ ไม่สามารถตรึงค่าเงินระหว่างกันได้ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลต่างๆ ถูกปล่อยให้ลอยตัวและผันผวนเกินกว่าตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์อื่น 

นักเศรษฐศาสตร์พยายามทำความเข้าใจสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี แต่ยังไม่พบว่ามีปัจจัยใดที่สามารถอธิบายการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ วิชาเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน (Economics of exchange rates) จึงถูกจัดเป็นศาสตร์แห่งความหดหู่ หรือ ศาสตร์ที่น่าเศร้า (Dismal science) 

ความลึกลับซับซ้อนของอัตราแลกเปลี่ยนเริ่มจากว่า อัตราแลกเปลี่ยนเป็นราคาของเงินสกุลหนึ่งวัดในรูปของเงินอีกสกุลหนึ่ง เปลี่ยนแปลงตามอุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) และอุปทาน (ความต้องการขาย) ของเงินสองสกุลนั้นเทียบกัน เช่น การที่เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ มีสาเหตุได้ทั้งจากความต้องการซื้อเงินบาทเพราะไทยส่งออกได้มากกว่านำเข้า

เงินทุนไหลเข้าประเทศไทยมากกว่าไหลออก และ/หรือจากความต้องการขายเงินดอลลาร์ เช่น จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ดังนั้นแม้ในกรณีที่ปัจจัยของไทยไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจัยทางฝั่งของสหรัฐฯ สามารถนำไปสู่การแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้

นอกจากนั้น ในตลาดเงินตราต่างประเทศซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเกือบ 10 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เฉพาะในประเทศไทยมีการซื้อขายเฉลี่ยรายวันเกือบสองหมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ มีผู้ซื้อผู้ขายมากราย

เหตุผลการซื้อขายเงินตรานั้นหลากหลาย และการซื้อขายเกือบครึ่งเป็นการซื้อขายระหว่างผู้ค้าเงินด้วยกันเองเพื่อทำกำไร ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้เงินตราจริงๆ จึงทำให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน แต่ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตที่ผู้ค้าเงินคาดการณ์ ซึ่งการคาดการณ์นั้นไวต่อข่าวสาร เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนจึงยากแก่การเข้าใจ (ข้อมูลสำรวจตลาดล่าสุดจาก BIS, เมษายน 2568)

ในปัจจุบันนักเศรษฐศาสตร์มีความเข้าใจมากขึ้นว่า ทำไมการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนจึงยากที่จะอธิบาย และ พบหลักฐานชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนและปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์นั้นไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในงานวิจัยที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนและปัจจัยทางเศรษฐกิจคาดการณ์โดยผู้ค้าเงินจากสถาบันการเงินชั้นนำ 

สำหรับเงิน 29 สกุลระหว่างเดือนมกราคม ค.ศ. 2002 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 จาก FX4casts แสดงให้เห็นว่า 1) อัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยนคาดการณ์ในอนาคต และ 2) ปัจจัยที่ใช้คาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  

อัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนที่คาดว่า จะเกิดขึ้นในอนาคต มากกว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น ถ้าคนในตลาดคาดว่า เงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่า ความต้องการขายเงินดอลลาร์ซื้อเงินบาท จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

ถ้าคาดว่าราคาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะสูงขึ้น แรงซื้อเงินดอลลาร์ขายเงินบาทจะทำให้ราคาเงินบาทตกลง ดังนั้น เมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามาในตลาดทำให้การคาดการณ์เปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว 

งานวิจัยแบ่งข้อมูลที่ใช้ในการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตออกเป็น 1) ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต 2) การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนในอดีต และ 3) ปัจจัยอื่นที่ไม่สามารถระบุได้ 

                        ทำไมเงินบาทแข็ง... คำถามที่ตอบยาก

ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ใช้คาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แม้การคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจในอนาคต อฺธิบายอัตราแลกเปลี่ยนคาดการณ์ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันได้อย่างมีนัยสำคัญ อัตราแลกเปลี่ยนในอดีต เช่น การแข็งค่าของเงินบาทที่ผ่านมา อาจทำให้คนในตลาดคาดว่า ในระยะสั้น เงินบาทจะแข็งค่าต่อ และจะอ่อนค่าลงในระยะยาว

และการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนส่วนหนึ่ง ยังขับเคลื่อนด้วยปัจจัยที่ไม่สามารถระบุได้ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนั้นปัจจัยที่ใช้ในการคาดการณ์ยังแตกต่างตามระดับการพัฒนาประเทศและตามระยะการพยากรณ์  

สมมติมีการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนี้ จะทำให้เงินบาทแข็งค่า การคาดการณ์นี้สามารถทำให้เงินบาทแข็งค่าได้ทันที แม้ปัจจัยของไทยจะไม่เปลี่ยนแปลง ในอนาคตเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดอัตราดอกเบี้ยตามคาด ไม่มีข้อมูลใหม่ เงินบาทน่าจะไม่เปลี่ยนแปลง 

แต่รอบที่ผ่านมาในเดือนตุลาคม แม้ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยไปอยู่ระดับต่ำสุดในรอบสามปีตามคาด แต่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับแข็งค่า นักวิเคราะห์อธิบายว่า เป็นเพราะสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบหน้าในเดือนธันวาคม ไม่ชัดเจน ผิดไปจากที่คาดไว้ ข้อมูลใหม่ทำการคาดการณ์เปลี่ยน แต่ในความเป็นจริงใครจะรู้ว่า ณ จังหวะนั้น เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะมีการนำเข้าทองคำ 

ดังนั้นทางวิชาการแล้ว การตอบคำถามว่า “ทำไมเงินบาทแข็ง” นั้นไม่ง่าย แม้จะรู้ว่าเพราะมีอุปสงค์ส่วนเกินของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น แต่มีสาเหตุได้จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ จากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและการคาดการณ์อนาคต จากปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยอื่นซึ่งบางส่วนอาจระบุไม่ได้ 

การอธิบายสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการคาดเดาจากข้อมูลสาธารณะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงหรือไม่นั้นยากที่จะรู้ บางครั้งปัจจัยที่นำมาใช้อธิบายอาจเป็นเพียงแพะรับบาป และเมื่อการอธิบายยังยาก การพยากรณ์ยิ่งยากกว่า..

คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย...รศ.ดร.พรชนก คัมภีรยส คูเวนเบิร์ค คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4148