KEY
POINTS
เมื่อผู้เขียนเป็นแม่ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเริ่มต้นเพียงแค่เกือบสี่เดือน แต่การเป็นแม่ไปด้วย ทำงานไปด้วย ก็ทำให้ผู้เขียนอดคิดถึงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค เรื่อง "การทำงานหลายชนิดภายในเวลาเดียวกัน" หรือ "Multitasking" (มัลติทาสกิ้ง) ไม่ได้
อันที่จริง "มัลติทาสกิ้ง" ก็เป็นศัพท์ที่คนทั่วไปใช้กันในชีวิตประจำวัน ในภาษาไทยเราก็มักได้ยินคนใช้ทับศัพท์กัน แต่เรื่อง "มัลติทาสกิ้ง" ยังเป็นงานวิจัยตีพิมพ์ (Holmstrom and Milgrom, 1991) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Bengt Holmstrom ได้รับรางวัลโนเบลสาขา เศรษฐศาสตร์ ในปี ค.ศ. 2016 ด้วยค่ะ วันนี้จึงขอมาเล่าสู่กันฟังเรื่อง ทฤษฎีมัลติทาสกิ้ง จากมุมมองทฤษฎีสัญญา ในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคกันนะคะ
Holmstrom เป็นชาวฟินแลนด์ และเป็นอาจารย์อยู่ที่ MIT เขาได้นับรางวัลพร้อมกับ Oliver Hart เนื่องจาก “their contributions to Contract Theory" หรือ คุณูปการต่อทฤษฎีสัญญา "ทฤษฎีสัญญา" หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Agency Problem หรือ Principal-Agent Problem เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่วิเคราะห์การออกแบบสัญญาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ภายใต้ข้อจำกัดของความไม่สมมาตรของข้อมูล (Asymmetric Information) แบบ ภาวะเสี่ยงภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard) ที่คู่สัญญาฝ่ายนายจ้างไม่สามารถติดตามมอนิเตอร์พฤติกรรมการทำงานของคู่สัญญาฝ่ายลูกจ้างได้อย่างสมบูรณ์ หรือ ตลอดเวลา ทำให้เกิดการทำงานที่ไม่เต็มที่ตามสัญญาที่ได้ทำไว้ และเกิดปัญหาประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าที่ได้ทำสัญญาร่วมกัน
แล้วอย่างนี้เราจะออกแบบสัญญากันอย่างไรดี
จากแบบจำลองพื้นฐานที่สุดในทฤษฎีนี้ ในเมื่อไม่สามารถติดตามและทราบข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานของลูกจ้างได้ นายจ้างก็ไม่สามารถให้ค่าตอบแทนตามความพยายามหรือน้ำพักน้ำแรงที่ใช้จริงได้ จึงต้องอาศัยสัญญาณ (signal) จากสิ่งที่สามารถสังเกตได้แทน ซึ่งก็คือ ผลผลิต (output) ที่ลูกจ้างผลิตให้นายจ้าง
ถ้าผลผลิตมากก็แสดงว่าลูกจ้างน่าจะขยันมาก ถ้าผลผลิตน้อยก็อาจเป็นเพราะขี้เกียจ แบบจำลองจึงออกแบบให้ค่าตอบแทนแปรผันตรงกับผลผลิตค่ะ สัญญาเช่นนี้ยังก่อให้เกิดแรงจูงใจ (incentive) ให้ลูกจ้างขยันทำงาน เพื่อเพิ่มผลผลิตซึ่งจะเพิ่มค่าตอบแทนของตนด้วย
นอกจากนั้น เนื่องจากความไม่สมมาตรของข้อมูล ลูกจ้างจึงสามารถเลือกพฤติกรรมการทำงานตามความพอใจของตน เพื่อได้รับอรรถประโยชน์สูงสุด นายจ้างจึงต้องนำสิ่งนี้เข้ามาประกอบในสัญญาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่ลูกจ้างอีกด้วยค่ะ
ถึงแม้ว่าผลผลิตจะแปรผันตรงกับน้ำพักน้ำแรงของลูกจ้าง แต่ผลผลิตก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่ลูกจ้างไม่สามารถควบคุมได้ด้วย เช่น ดินฟ้าอากาศ สำหรับผลผลิตทางการเกษตร หรือสถานการณ์เศรษฐกิจโลก สำหรับสินค้าที่ใช้การนำเข้าปัจจัยการผลิต ดังนั้น เพื่อช่วยแบ่งปันความเสี่ยง สัญญาที่ออกแบบก็จะมีค่าแรงส่วนที่คงที่ ที่ลูกจ้างจะได้รับ ไม่ว่าผลผลิตจะเป็นเช่นไร หรือ กลายเป็นศูนย์ค่ะ
ตัวอย่างจากสัญญาจ้างที่สร้างแรงจูงใจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตโดยผูกติดค่าตอบแทนกับผลผลิต เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการถกเถียงในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ควรให้ค่าตอบแทนครูตามผลการเรียนของนักเรียนที่ตนรับผิดชอบ แทนเงินเดือนที่คงที่ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ครูทุ่มเท เพื่อให้ผลการเรียนของนักเรียนดีขึ้นหรือไม่ Holmstrom and Milgrom (1991) จึงวิเคราะห์ทางทฤษฎีว่าด้วยข้อถกเถียงนี้ และวางนัยทั่วไปถึงกรณีที่เกี่ยวข้องและกว้างขวาง หรือ ทั่วไปกว่านี้ด้วยค่ะ
พวกเขามองว่า อาชีพครูก็คล้ายอีกหลาย ๆ งานและอาชีพ ที่ต้องทำงานหลายชนิดในเวลาเดียวกัน (มัลติทาสกิ้ง) และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ นอกจากจะมีปัญหา Moral Hazard แล้ว ไม่ใช่งานทุกชนิดที่จะมีสัญญาณที่วัดผลออกมา เพื่อนำมาใช้ในการออกแบบสัญญาได้
ยกตัวอย่างเช่น ครูสอนความรู้และทักษะให้นักเรียน ซึ่งสามารถวัดผลออกมาเป็นผลการสอบได้ แต่ครูก็ยังมีหน้าที่จะต้องสอนให้เด็ก ๆ มีความคิดสร้างสรรค์และประพฤติดีงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่วัดผลได้ยาก จึงไม่มีสัญญาณที่จะนำมาใช้ในการเขียนสัญญาสำหรับงานประเภทนี้ คำถามก็คือ แล้วเราจะสร้างแรงจูงใจสำหรับการทำงานที่ไม่สามารถวัดผลได้ได้อย่างไร
Holmstrom and Milgrom (1991) แสดงให้เห็นว่า แรงจูงใจและประสิทธิภาพในการผลิตของงานประเภทนี้ ขึ้นอยู่กับว่างานนั้นมีความสัมพันธ์กับงานที่มีสัญญาณที่วัดผลได้อย่างไร ถ้าทั้งสองงานเติมเต็มซึ่งกันและกัน (complementary) การเพิ่มน้ำพักน้ำแรงของงานหนึ่งจะไปลดต้นทุนส่วนเพิ่ม (marginal cost) ของการทำงานอีกงาน
ฉะนั้น เมื่อเพิ่มค่าตอบแทนของงานที่วัดผลผลิตได้ตามผลผลิตที่เพิ่ม ก็จะเพิ่มแรงจูงใจที่จะขยันขึ้นในการทำงานทั้งที่วัดผลผลิตได้และไม่ได้ด้วยค่ะ แต่ถ้างานทั้งสองเป็นการแทนที่กัน (substitutional) การเพิ่มน้ำพักน้ำแรงของงานหนึ่งจะไปเพิ่มต้นทุนส่วนเพิ่ม (marginal cost) ของการทำงานอีกงาน ทำให้เกิดผลตรงกันข้ามค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราผูกติดค่าตอบแทนครู กับผลการเรียนของนักเรียน ครูก็จะมีแรงจูงใจทุ่มเทเวลาให้กับการสอนความรู้ หรือ ติวเพื่อสอบ แต่มีแรงจูงใจน้อยลงที่จะมาเพิ่มพูนทักษะความคิดสร้างสรรค์และเพาะบ่มคุณธรรมให้แก่เด็ก ๆ เพราะพรากเวลาไปจากการติวสอบซึ่งทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง หมายถึงผลการสอบที่ดีขึ้น และค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น
เพราะงานทั้งสองอย่างนี้แทนที่เวลากันและกัน ซึ่งเป็นต้นทุนที่ใช้ในการทำงานนั่นเอง จากการที่ครูมีมัลติทาสก์ที่ไม่ใช่แค่ทำให้เด็กสอบได้ดีอย่างเดียว Holmstrom and Milgrom (1991) จึงไม่สนับสนุนแนวคิดผูกติดเงินเดือนของครูกับผลสอบเด็กค่ะ
ถึงแม้ว่า Holmstrom and Milgrom (1991) จะไม่ได้กล่าวถึงมัลติทาสกิ้งของผู้หญิง ที่เป็นแม่ที่ทำงานไปด้วย เราก็อาจมาลองวิเคราะห์กันภายใต้แบบจำลองนี้ได้บ้างนะคะ เพราะความเป็นแม่น่าจะเป็นงานที่วัดผลผลิตได้ยาก ในขณะที่งานในตลาแรงงานนั้นวัดผลผลิตได้ง่ายกว่า และการทำงานทั้งสองน่าจะเป็นการแทนที่เวลาของกันและกัน มากกว่าเติมเต็มซึ่งกันและกัน
ผู้จ้างงานส่วนใหญ่อาจไม่ได้คำนึงถึงงานของความเป็นแม่ เพราะถือว่าเป็นงานส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับผลผลิตของหน่วยงาน หรือ บริษัท เมื่อออกแบบสัญญาค่าตอบแทน จึงไม่ได้นำเรื่องมัลติทาสกิ้งมาคิด และนี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราพบว่า ในงานที่ค่าตอบแทนสูง ไม่ว่าจะเป็นทางการเงิน หรือ ความพึงพอใจจากงาน เรามักพบผู้หญิงที่ตัดสินใจไม่มีลูก หรือ ออกจากตลาดแรงงานไปเลย
แต่ปัจจุบัน ก็มีหลายหน่วยงานที่มีศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็กให้กับพนักงาน ซึ่งน่าจะช่วยลดผลกระทบของการแทนที่เวลาของงานทั้งสองได้ หน่วยงานภาครัฐ เช่น อบต.ในหลายตำบล ก็เข้ามาเติมเต็มในส่วนสวัสดิการรับเลี้ยงเด็กเล็ก แต่ในความเป็นแม่ แม่หลาย ๆ คนก็ต้องการที่จะดูแลลูกเองตลอดเวลาอย่างน้อยในช่วงขวบปีแรก
หน่วยงานที่สามารถแบกรับต้นทุนนี้ได้และไม่อยากสูญเสียพนักงานไปอย่างธนาคารกลางแห่งประเทศอังกฤษ ก็อนุญาตให้แม่ลางานได้ในช่วงขวบปีแรกของลูก เทคโนโลยีที่ทำให้สามารถทำงานจากบ้านได้ ก็สามารถช่วยเพิ่มการเติมเต็มของงานในฐานะแม่และงานในตลาดแรงงานได้เช่นกัน
แต่จากการศึกษาในช่วงโควิด-19 Lyttelton et al. (2023) กลับพบว่า ถึงแม้ว่าการทำงานจากบ้านของแม่ ถึงแม้จะเพิ่มผลผลิต แต่ก็เพิ่มความเครียดเนื่องจากมัลติทาสกิ้งที่เข้มข้นขึ้นได้
ถึงแม้จะเป็นการยากที่จะคิดวิธีช่วยเหลือ และแก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะในแง่ของตลาดแรงงาน การสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ หรือภาวะเจริญพันธุ์ ที่เกิดจากความจำเป็นในการมัลติทาสของผู้หญิงที่เป็นแม่
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ตลอดเกือบสี่เดือนที่ผ่านมา ก็คือ ความเข้าใจและการช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัว เพื่อนและผู้ร่วมงาน เป็นสิ่งมีค่ายิ่ง ที่ทำให้แม่คนหนึ่งสามารถทำงานทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันต่อไปได้
และเหนือสิ่งอื่นใด "ความรัก" ที่อาจจะไม่มีอยู่ในนิยามทางเศรษฐศาสตร์ทั่วไป คือ รากฐานสำคัญที่ทำให้โลกใบนี้ ยังคงขับเคลื่อนและสร้างผลผลิตไปพร้อม ๆ กับสร้างมนุษย์ตัวเล็ก ๆ มาแต่นมนาน
เอกสารอ้างอิง:
Holmstrom, Bengt, and Paul Milgrom. "Multitask principal–agent analyses: Incentive contracts, asset ownership, and job design." The Journal of Law, Economics, and Organization 7, no. special_issue (1991): 24-52.
Lyttelton, Thomas, Emma Zang, and Kelly Musick. "Parents' work arrangements and gendered time use during the COVID‐19 pandemic." Journal of Marriage and Family 85, no. 2 (2023): 657-673.
คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย... รศ.ดร.ธันยพร จันทร์กระจ่าง คณะเศรษฐเสวนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4118