สิทธิการลาคลอดและผลกระทบในมิติต่างๆ

15 ต.ค. 2568 | 06:21 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ต.ค. 2568 | 06:35 น.

สิทธิการลาคลอดและผลกระทบในมิติต่างๆ : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย ผศ.ดร.กุลลินี มุทธากลิน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4140

KEY

POINTS

  • ร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ของไทย มีสาระสำคัญในการเพิ่มสิทธิลาคลอดเป็น 120 วัน และให้สิทธิคู่สมรสสามารถลาเพื่อช่วยเลี้ยงดูบุตรได้
  • การลาคลอดระยะสั้น (ไม่เกิน 6 เดือน) ส่งผลดีต่อสุขภาพของแม่และเด็ก รวมถึงการทำงานของผู้หญิง แต่การลาที่ยาวนานเกินไป อาจส่งผลเสียต่อค่าจ้างและโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
  • นโยบายการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรในปัจจุบัน มีแนวโน้มส่งเสริมให้พ่อมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อสร้างความเท่าเทียมและลดภาระของแม่ ซึ่งส่งผลดีต่อครอบครัว
  • ผลกระทบต่อนายจ้าง คือ บริษัทส่วนใหญ่สามารถปรับตัวกับการลาของพนักงานได้ แต่ก็อาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้น และกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานได้ หากหาพนักงานทดแทนได้ยาก

เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568  ที่ประชุมวุฒิสภา ได้ลงมติรับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....โดยร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีสาระสำคัญในการเพิ่มสิทธิลาคลอด 120 วัน ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแรงงานหญิงมีครรภ์ในวันลาคลอด เท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 60 วัน ให้สิทธิวันลาต่อเนื่องเลี้ยงดูบุตรป่วยเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนไม่เกิน 15 วัน รวมถึงให้สิทธิคู่สมรสลาโดยได้รับค่าจ้าง

การลาของหญิงตั้งครรภ์เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการขยายตัวของเมือง เมื่อผู้หญิงเริ่มทำงานนอกบ้านมากขึ้น วัตถุประสงค์หลักของนโยบายนี้ คือ การปกป้องสุขภาพของมารดาและบุตรแรกเกิด 

ในปี 1877 สวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศแรกที่ห้ามการจ้างงานหญิงตั้งครรภ์สองสัปดาห์ก่อนคลอด และหกสัปดาห์หลังคลอด ตามมาด้วยเยอรมนี ในปี 1878 ฮังการีในปี 1884 ออสเตรียในปี 1885 เนเธอร์แลนด์ในปี 1889 นอร์เวย์ในปี 1892 สวีเดนในปี 1900 เดนมาร์กในปี 1901 และกรีซในปี 1912

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 นโยบายการลาของหญิงตั้งครรภ์ ได้เปลี่ยนมาเน้นที่สิทธิสตรีและความเท่าเทียมทางเพศ ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ การลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร จึงกลายเป็นวิธีที่ผู้หญิงใช้ปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตในครอบครัว สวีเดน ได้นำการลาคลอดมาใช้เป็นเวลา 3 เดือน ในปี 1955 ตามด้วยนอร์เวย์ในปี 1956 ฟินแลนด์ในปี 1964 และ เดนมาร์ก ในปี 1967 โดยมีการจ่ายเงินเทียบเท่ากับประกันการว่างงานหรือสวัสดิการการเจ็บป่วย

หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในตลาดแรงงานตลอดศตวรรษ 20 ที่ผ่านมา คือ การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของการมีส่วนร่วมของแรงงานหญิง ส่งผลให้ระบบการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น และเป็นองค์ประกอบสำคัญของนโยบายตลาดแรงงานในประเทศที่มีรายได้สูงส่วนใหญ่ 

ปัจจุบัน ประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(OECD) ทุกประเทศยกเว้นสหรัฐอเมริกา มีโครงการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง อย่างไรก็ตาม โครงการเหล่านี้มีความแตกต่างกันอย่างมากในแง่ของระยะเวลาและสิทธิประโยชน์ 

ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแบบได้รับค่าจ้างในสเปน และ เนเธอร์แลนด์ คือ 16 สัปดาห์ ในขณะที่ระยะเวลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแบบได้รับค่าจ้างในประเทศอื่น ๆ เช่น ฟินแลนด์ ฮังการี เอสโตเนีย และ สาธารณรัฐสโลวัก ครอบคลุมมากกว่า 16 สัปดาห์ 

นอกจากนี้ นโยบายต่าง ๆ ยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็วในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ในปี 1980 ระยะเวลาลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแบบได้รับค่าจ้างโดยเฉลี่ยใน OECD อยู่ที่ 14 สัปดาห์ เทียบกับค่าเฉลี่ยกว่า 53 สัปดาห์ ในปี 2018 

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ อีกประการหนึ่งในระบบการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร คือ การมุ่งเน้นที่การสร้างแรงจูงใจให้ผู้เป็นพ่อลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร นอร์เวย์ เป็นประเทศแรกที่นำโควตาการลาสำหรับพ่อ มาใช้ในปี 1993 และตามมาด้วยประเทศอื่น ๆ เช่น สวีเดน ไอซ์แลนด์ และ สเปน ในปี 2015

สามในสี่ของประเทศสมาชิก OECD กำหนดให้มีการลาแบบมีเงินเดือน ซึ่งสามารถใช้ได้เฉพาะกับพ่อเท่านั้น และในปี 2019 รัฐสภายุโรปได้อนุมัติคำสั่งที่กำหนดให้ประเทศสมาชิก ต้องรับรองการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรที่จัดสรรไว้อย่างน้อยสองเดือน

การประเมินผลกระทบของนโยบายการลาคลอด หรือ ลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรนั้น มีความซับซ้อน ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า วัตถุประสงค์ของนโยบายการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรมีหลายแง่มุม ในขั้นต้น แรงจูงใจหลักของกฎหมายการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร คือ เพื่อให้มั่นใจว่าทารกจะมีสุขภาพแข็งแรง และมีชีวิตรอด และเพื่อให้แม่สามารถฟื้นตัวได้หลังคลอดบุตร 

ต่อมา แรงจูงใจได้มุ่งเน้นไปที่อิทธิพลของนโยบายครอบครัว ที่มีต่อผลลัพธ์ของตลาดแรงงานและความเท่าเทียมทางเพศ นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผลผลิตของบริษัทและรายจ่ายของรัฐบาล อีกทั้งผลกระทบของนโยบายการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร จึงขึ้นอยู่กับบริบทเป็นอย่างมาก 

การศึกษาที่เพิ่มมากขึ้นในประเด็นดังกล่าวนี้ ณ ขณะนี้ มีข้อค้นพบที่สอดคล้องกันหลายประการ ข้อแรก การบังคับใช้การลาคลอดระยะสั้น พบว่า เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของมารดาและเด็ก รวมถึงต่อผลลัพธ์ในตลาดแรงงานของมารดา 

ข้อสอง การลาคลอดเกินหกเดือนจะให้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย ในแง่ของผลลัพธ์ด้านสุขภาพและผลลัพธ์ในระยะยาวของเด็ก กล่าวคือ ผลกระทบเชิงบวกของการลาคลอด ที่ขยายเวลาเกินหกเดือนนั้น มีความคลุมเครือมากกว่า ขณะที่หลักฐานบางส่วนชี้ให้เห็นว่าระยะเวลาการลาคลอดที่ยาวขึ้น อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำ 

ในแง่ของผลลัพธ์ด้านสุขภาพ มารดาที่มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์มากกว่าจากการขยายระยะเวลาลาคลอดแบบมีเงินเดือน อย่างไรก็ตาม ในแง่ของผลลัพธ์ระยะยาวของเด็ก เช่น คะแนนสอบของเด็กนั้น ประโยชน์จากการขยายระยะเวลาลาคลอด ดูเหมือนจะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มที่มีมารดาที่มีการศึกษาสูง ดังนั้น การขยายระยะเวลาลาคลอด อาจมีความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของมารดาและผลลัพธ์ของเด็ก 

ขณะที่การนำสิทธิลาคลอดและลาเพื่อครอบครัวมาใช้ ดูเหมือนจะช่วยปรับปรุงความต่อเนื่องในการทำงานของแม่ การขยายระยะเวลาของสิทธิเหล่านี้ไปสูงสุดหกเดือน จะช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ในตลาดแรงงานของผู้หญิง แต่การลาที่นานขึ้นอาจส่งผลเสียในระยะยาวต่อค่าจ้าง การจ้างงาน และโอกาสในการทำงาน 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการลาขยายออกไปหนึ่งปี หรือ มากกว่านั้น การลาแบบมีเงินเดือนจะเพิ่มการใช้สิทธิลาของผู้หญิงที่มีรายได้น้อย ในขณะที่การลาแบบมีเงินเดือนที่ยาวนานขึ้น และระยะเวลาการคุ้มครองงานอาจส่งผลเสียต่ออาชีพของแม่ ที่มีการศึกษาสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่ทำงานในภาคเอกชน ซึ่งอาจมีโอกาสลดลงในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด

เมื่อระยะเวลาการลาแบบมีเงินเดือนเพิ่มขึ้น การขยายสิทธิดังกล่าว ยังสามารถเพิ่มภาวะเจริญพันธุ์ ซึ่งอาจทำให้รายได้ระยะยาวของแม่ลดลง เนื่องจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่การศึกษาส่วนใหญ่พบว่า การลาที่เพิ่มการใช้สิทธิลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร และการมีส่วนร่วมในครอบครัวของพ่อ แบบมีกำหนดระยะเวลา ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของพ่อในการดูแลบุตรที่เพิ่มขึ้น แต่หลักฐานเกี่ยวกับผลกระทบต่อตลาดแรงงานของทั้งพ่อและแม่ ยังคงไม่ชัดเจน 

                      สิทธิการลาคลอดและผลกระทบในมิติต่างๆ

ในกรณีส่วนใหญ่ อุปทานแรงงานและรายได้ของแม่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรของพ่อ เนื่องจากการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรของพ่อ จะช่วยลดภาระงานในครัวเรือนของแม่ นอกจากนี้ การลาของพ่อยังมีผลกระทบที่สำคัญต่อครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงของการสมรสและภาวะเจริญพันธุ์ 

ส่วนผลกระทบของการลาคลอด หรือ ลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรต่อบริษัทหรือนายจ้าง ผลการศึกษาที่มีพบว่า โดยทั่วไป บริษัทต่าง ๆ สามารถปรับตัวให้เข้ากับการขาดงานของพนักงาน เนื่องจากการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้ โดยบริษัทจะชดเชยแรงงานที่สูญเสียไปด้วยการจ้างพนักงานใหม่หรือเพิ่มชั่วโมงทำงานของพนักงานเดิม การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดต้นทุนแต่ป้องกันไม่ให้บริษัทเกิดการสูญเสียประสิทธิภาพโดยรวม 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบางประการ เช่น การลาโดยไม่คาดคิด การไม่มีพนักงานทดแทนพนักงานที่ลาภายในบริษัท และต้นทุนที่สูงในการจ้าง หรือ เลิกจ้างพนักงานใหม่ อาจส่งผลให้ต้นทุนการทดแทนสูงและส่งผลกระทบทางลบต่อประสิทธิภาพการทำงานของบริษัท

ด้วยเหตุนี้ นโยบายการลาคลอด หรือ ลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร จึงส่งผลกระทบที่หลากหลาย และยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมอย่างมาก การศึกษาและเฝ้าติดตามผลกระทบของการขยายกำหนดวันลาคลอดบุตร และสิทธิลาของพ่อเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสในไทย จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจและน่าเฝ้าติดตาม

คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย... ผศ.ดร.กุลลินี มุทธากลิน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ  4140