เมื่อภาษีคาร์บอนขึ้นราคาไม่ได้ : บทบาทของการสื่อสารต่อการเปลี่ยนพฤติกรรม

06 ส.ค. 2568 | 04:17 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ส.ค. 2568 | 04:27 น.

เมื่อภาษีคาร์บอนขึ้นราคาไม่ได้ : บทบาทของการสื่อสารต่อการเปลี่ยนพฤติกรรม : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย...รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

KEY

POINTS

  • ในภาวะที่ยังไม่สามารถขึ้นราคาภาษีคาร์บอนในน้ำมันได้โดยตรง การสื่อสารจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจูงใจให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงาน
  • ผลวิจัยจากจุฬาฯ พบว่า การสื่อสารภาษีคาร์บอนให้เข้าใจง่าย เช่น ใช้หน่วย "บาทต่อถัง" แทน "บาทต่อลิตร" และเชื่อมโยงกับผลกระทบใกล้ตัว เช่น น้ำท่วม, มลพิษ จะช่วยลดการใช้น้ำมันได้ผลดีกว่า
  • กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อสะกิดใจ (Nudge) ได้ผลดีเป็นพิเศษกับกลุ่มคนทั่วไปที่ยังไม่ตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของผู้ขับขี่ในไทย ในขณะที่กลุ่มที่ใส่ใจอยู่แล้วอาจต้องการมาตรการที่เข้มข้นกว่า

ในขณะที่ทั่วโลกเร่งรับมือวิกฤติสภาพภูมิอากาศ หลายประเทศเลือกใช้ “ภาษีคาร์บอน” เพื่อจูงใจให้ประชาชนลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นตัวการหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประเทศไทยเองก็เริ่มต้นใช้กลไกกำหนดราคาคาร์บอนผ่านภาษีสรรพสามิตเช่นกัน แม้จะยังไม่ถึงขั้นเพิ่มราคาน้ำมันจริง แต่ได้มีการแยกราคา “คาร์บอน” ออกจากโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเดิม เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับนโยบายในอนาคต

ในภาวะที่รัฐบาลยังไม่สามารถปรับขึ้นราคาน้ำมันได้โดยตรง การสื่อสารนโยบายจึงกลายเป็น “เครื่องมือเชิงพฤติกรรม” ที่จับต้องได้มากที่สุดระยะสั้น ทางเลือกของเราขณะนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ “อัตราภาษี” แต่คือ “วิธีการสื่อสารภาษีนั้นให้คนเข้าใจและขยับตัว”

ทีมนักวิจัยจากจุฬาฯ (รศ.ดร.ขนิษฐา แต้มบุญเลิศชัย ผศ.ดร.ณัตติฤดี เจริญรักษ์ รศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ คุณชนลักษณ์ ชัยศรีลักษณ์ และผู้เขียน) ได้ลงมือศึกษาว่า การสื่อสารภาษีคาร์บอนในรูปแบบต่าง ๆ จะส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้น้ำมันของคนไทยอย่างไร ผ่านการทดลองเชิงพฤติกรรมกับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ จำนวน 1,800 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกภูมิภาคของประเทศ โดยสุ่มให้แต่ละคนได้รับข้อมูลภาษีในรูปแบบที่ต่างกัน แล้วติดตามดูว่า ข้อมูลแบบใดสามารถกระตุ้นให้เกิดการลดการใช้น้ำมันได้จริง

การสื่อสารภาษีคาร์บอนต้องชัดและง่าย

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทดสอบ คือ การทำให้ภาษีคาร์บอน “เข้าใจง่าย” ยิ่งขึ้น แทนที่จะใช้หน่วย “บาทต่อลิตร” ซึ่งคนทั่วไปมักมองว่าเข้าใจยาก นักวิจัยเปลี่ยนมาใช้ “บาทต่อถังน้ำมัน” ที่ใกล้ตัวและจับต้องได้
ผลการทดลองพบว่า ผู้ที่ได้รับข้อมูลในรูปแบบนี้ ลดการใช้น้ำมันได้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับข้อมูลแบบทั่วไปแทบไม่เปลี่ยนพฤติกรรมเลย

แค่พูดว่า “ปล่อยคาร์บอน” ไม่พอ ต้องชี้ให้เห็น “ภัยใกล้ตัว”

อีกหนึ่งแนวทางคือ การตั้ง “กรอบข้อความ” (message framing) ให้ชัดเจน งานวิจัยพบว่า การสื่อสารที่เชื่อมโยงพฤติกรรมการเติมน้ำมันกับภัยพิบัติที่จับต้องได้ เช่น น้ำท่วม หรือ มลพิษ ได้ผลดีกว่าการพูดถึงการ “ลดคาร์บอน” แบบลอย ๆ ที่เข้าใจยากและดูไกลตัว

“Nudge” จะได้ผลกับใคร?

คำว่า “Nudge” ในที่นี้หมายถึงการกระตุ้นพฤติกรรมโดยไม่ใช้คำสั่ง หรือแรงจูงใจทางการเงิน แต่เป็นการให้ข้อมูลที่ออกแบบมาอย่างตั้งใจ เพื่อจูงใจให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม

ทีมวิจัยพบว่า กลุ่มคนทั่วไปที่ยังไม่ค่อยตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งคิดเป็นถึง 75% ของผู้ขับขี่ไทย ตอบสนองต่อการ Nudge ได้ดีเป็นพิเศษ พวกเขาลดการใช้น้ำมันได้เฉลี่ยมากกว่า 2 ลิตร ต่อการเติมหนึ่งครั้ง

ในทางกลับกัน กลุ่มที่มีความรู้และใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว (ประมาณ 25%) กลับไม่เปลี่ยนพฤติกรรมมากนัก พูดอีกแบบคือ การ Nudge แบบเบา ๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป พวกเขาอาจต้องการแรงจูงใจที่ลึกกว่านั้น เช่น การปรับขึ้นราคาน้ำมันจริง หรือมาตรการสนับสนุนทางเลือกพลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม

จากผลวิจัยสู่การทดลองจริงกับบางจาก และ ปตท. 

งานวิจัยนี้ไม่ได้หยุดแค่การเขียนบทความเท่านั้น ทีมวิจัยได้นำข้อค้นพบไปต่อยอดความร่วมมือกับกรมสรรพสามิต บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เพื่อทดลองภาคสนาม (Field trial) ผ่าน Online Membership Platform และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ

เป้าหมาย คือ การทดลองว่า ถ้าเราสามารถทำเรื่องภาษีคาร์บอนให้ชัดและง่าย เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำมันของคนไทยได้จริงหรือไม่ นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของนโยบายภาษีคาร์บอนในประเทศไทย ที่ไม่ใช่แค่เก็บภาษี แต่เป็นการ “ขับเคลื่อนสังคม” ไปสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย...รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ4120