พลิกอนาคตให้คนตัวเล็กจุดเปลี่ยนประเทศไทยสู่โอกาสเด็ก คนรุ่นใหม่ และ SMEs

17 ก.ย. 2568 | 07:23 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2568 | 07:31 น.

พลิกอนาคตให้คนตัวเล็กจุดเปลี่ยนประเทศไทยสู่โอกาสเด็ก คนรุ่นใหม่ และ SMEs : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย... ดร.วรมาศ ลิมป์ธีระกุล คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4132

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและตลาดแรงงานที่ไม่แน่นอน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็ก คนรุ่นใหม่ และ SMEs
  • ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสร้างวงจรความยากจน โดยมีนักเรียนกว่า 1.3 ล้านคนอยู่ในกลุ่ม "ยากจนพิเศษ" ทำให้ขาดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพและเลื่อนชั้นทางสังคม
  • คนรุ่นใหม่ (Gen Z) และ SMEs เผชิญความเปราะบางในตลาดแรงงานจากปัญหาทักษะไม่ตรงความต้องการ (Skills Mismatch) ความไม่มั่นคงในอาชีพ และการเข้าถึงทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งถูกซ้ำเติมด้วยการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมสูงวัย
  • แนวทางแก้ไขคือ การเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส ผ่านการลงทุนในคนอย่างตรงจุด, สร้างสะพานเชื่อมการศึกษากับโลกการทำงาน, และขับเคลื่อนนโยบายด้วยข้อมูลเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บน “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญ แม้ความก้าวหน้าตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา จะสะท้อนผ่านดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index: HDI) ที่อยู่ในระดับสูง ด้วยคะแนน 0.798 และอยู่ในอันดับที่ 76 จาก 193 ประเทศ 

แต่ภายใต้ตัวเลขดังกล่าว คือ ความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ฝังรากลึก, ตลาดแรงงานที่ไม่แน่นอนสำหรับคนรุ่นใหม่ Gen Z และ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs), ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมสูงวัย

บทความนี้จะทำการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันโดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกจากรายงานสำคัญของ UNDP, กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.), และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อสำรวจแนวทางในการเปลี่ยนความท้าทายเหล่านี้ ให้กลายเป็นโอกาสที่จะพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า

ปมปัญหาที่ฝังรากลึก : วงจรความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา คือ ปัญหาเรื้อรังที่เป็นทั้งเหตุและผลของความแตกต่างทางเศรษฐกิจในภาพรวม งานวิจัยนานาชาติโดย Blanden และคณะ (2022) ชี้ชัดว่า ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดผลสัมทธิ์ทางการศึกษาของเด็ก ซึ่งสถานการณ์ในประเทศไทยสะท้อนภาพดังกล่าวอย่างชัดเจน 

ข้อมูลล่าสุดจาก กสศ. (2567) ตอกย้ำถึงความรุนแรงของปัญหานี้ โดยพบว่า มีนักเรียนกว่า 1.3 ล้านคน หรือ ประมาณ 15% ของเด็กในวัยเรียนภาคบังคับ ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ยากจนพิเศษ” ซึ่งมีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยต่อคนต่อวันเพียง 37 บาท โดยนักเรียนกลุ่มนี้กระจุกตัวอยู่มากเป็นพิเศษในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในพื้นที่ชนบท และในกลุ่มชาติพันธุ์ 

การกระจุกตัวของความยากจน และความเสียเปรียบทางการศึกษาในจังหวัดอย่าง แม่ฮ่องสอน นครพนม และนราธิวาส ได้สะท้อนถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึก

ตัวอย่างเช่น ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน นักเรียนเกือบครึ่งหนึ่งมีฐานะอยู่ใต้เส้นความยากจน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ หลายเท่า วงจรแห่งความเสียเปรียบนี้ ทำงานผ่านกลไกหลัก 3 ประการที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ได้แก่ 

ช่องว่างด้านทรัพยากร ซึ่งทำให้ครอบครัวยากจน ไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายทางการศึกษาได้ ความแตกต่างของคุณภาพโรงเรียน ระหว่างในเมืองและชนบท และอิทธิพลจากเพื่อนและสภาพแวดล้อม ที่ส่งผลต่อแรงบันดาลใจและความสำเร็จ 

กลไกเหล่านี้ตอกย้ำวงจรความยากจน และจำกัดโอกาสในการเลื่อนชั้นทางสังคม โดยระดับการศึกษาและรายได้ของผู้ปกครอง ยังคงเป็นตัวทำนายที่สำคัญต่ออนาคตของบุตรหลาน ปมปัญหานี้จึงได้ส่งผลกระทบโดยตรงไปยังตลาดแรงงาน

โจทย์ใหญ่ของประเทศ: ตลาดแรงงานที่ไม่แน่นอน และความเปราะบางของ Gen Z และ SMEs 

รายงานสภาวะสังคมไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดย สศช. ได้ฉายภาพตลาดแรงงานไทยที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง แม้อัตราการว่างงานโดยรวมจะอยู่ในระดับต่ำที่ 0.91% แต่เมื่อเจาะลึกกลับพบความเปราะบางที่น่ากังวล: 

· ทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการ (Skills Mismatch) : กลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงที่สุดอย่างต่อเนื่องที่ 1.99% หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 1.3 แสนคน

· คนรุ่นใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ : “กลุ่มผู้ว่างงานระยะยาว” มีจำนวนเพิ่มขึ้น และเกือบ 3 ใน 4 คือ คนรุ่นใหม่อายุ 20-29 ปี ที่ยังไม่เคยทำงานมาก่อนเลย

· ปัญหาการทำงานต่ำกว่าระดับ  (Underemployment) : มี “ผู้เสมือนว่างงาน” อีกถึง 2.1 ล้านคน โดยกว่า 60% อยู่ในภาคเกษตรกรรม และ 1 ใน 4 คือผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) 

ตัวเลขค่าจ้าง ค่าจ้างเฉลี่ยชี้ให้เห็นว่า ค่าจ้างเฉลี่ยของพนักงานเอกชนและแรงงานในระบบ จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงาน “ทั้งหมด” กลับลดลง 1.9% ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มแรงงานนอกระบบ และผู้ประกอบอาชีพอิสระมีรายได้ลดลง  

ท่ามกลางสถานการณ์นี้ คนรุ่นใหม่ Gen Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2540-2555) กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งความไม่มั่นคงในอาชีพ, ปัญหา Skills Mismatch, และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง 

ในขณะเดียวกัน SMEs ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ โดยมีสัดส่วนกว่า 99% ของธุรกิจทั้งหมด และสร้างงานกว่า 70% ก็กำลังเปราะบางจากการแข่งขันที่รุนแรง, การขาดแคลนแรงงานมีฝีมือ และ การเข้าถึงเทคโนโลยีและแหล่งเงินทุนที่จำกัด โจทย์ใหญ่เหล่านี้ยิ่งถูกซ้ำเติมโดยการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมสูงวัย ซึ่งทำให้ “ทุนมนุษย์” ที่มีคุณภาพสูงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด

เส้นทางข้างหน้า : เชื่อมความท้าทายเป็นโอกาสแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน 

แม้ความท้าทายจะดูน่ากังวล แต่ก็เป็นโอกาสในการปฏิรูปครั้งใหญ่ ประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากแนวปฏิบัติที่ดีของนานาชาติ เช่น นโยบายที่ตรงจุดของสิงคโปร์ อย่างโครงการ UPLIFT และ MOE FAS 

แม้ประเทศไทยจะมีนโยบายช่วยเหลือ เช่น โครงการเงินอุดหนุนของ กสศ. แต่ยังมีเด็กยากจนอีกกว่า 1.1 ล้านคน ที่กำลังรอรับความช่วยเหลือ การก้าวไปข้างหน้าจึงต้องอาศัยแนวทางที่ชัดเจนและบูรณาการ  
1. ลงทุนในคนอย่างตรงจุด : ต้องขยายและปรับปรุงการช่วยเหลือให้ตรงจุดมากขึ้น โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการลงทุนในการศึกษาปฐมวัยและการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวคุ้มค่าที่สุด ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพและกระจายครูให้ทั่วถึง

2. สร้างสะพานเชื่อมการศึกษากับโลกการทำงาน : ต้องปรับหลักสูตรให้ทันสมัยเพื่อสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และส่งเสริมการเรียนรู้ควบคู่การทำงาน เช่น การฝึกงาน เพื่อแก้ปัญหา Skills Mismatch พร้อมทั้งสนับสนุนระบบนิเวศสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่

3. เสริมสร้างโครงข่ายทางสังคมที่เข้มแข็ง : ต้องสร้างหลักประกันทางสังคมที่ครอบคลุมสำหรับคนทุกกลุ่ม และสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้ปกครองในการสนับสนุนการศึกษา

4. ขับเคลื่อนนโยบายด้วยข้อมูล : หัวใจสำคัญ คือ การเปลี่ยนไปสู่การใช้นโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยพัฒนาระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานด้านการศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการสังคม และส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล (Open Data) เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ 

บทสรุป: การตัดสินใจบนจุดเปลี่ยน

การลดช่องว่างทางการศึกษา ไม่ใช่เพียงเรื่องของความยุติธรรม แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและความสามัคคีในสังคม การจะทลายวงจรความเหลื่อมล้ำได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งครอบครัว, โรงเรียน, ชุมชน, และภาครัฐ 

สำหรับอนาคตของ Gen Z และ SMEs ที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง เส้นทางข้างหน้าของประเทศไทยนั้นชัดเจน แม้จะท้าทาย นั่นคือ การลงทุนในคน, การลดช่องว่างที่มีอยู่, และการสร้างสังคมที่เด็กทุกคนและผู้ประกอบการทุกรายได้รับโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ เพราะการตัดสินใจที่เราทำในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของชาติไปอีกหลายชั่วอายุคน

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : 

1. Blanden, J., Doepke, M., & Stuhler, J. (2022). Educational Inequality. In Handbook of the Economics of Education, Volume 6. http://arxiv.org/pdf/2204.04701v1

2. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.). (2567). สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2567 และทิศทางสำคัญในปี 2568.

3. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC). (2568). รายงานสภาวะสังคม Q2 2568.

4. Singh, K., Cheemalapati, S., RamiReddy, S. R., Kurian, G., Muzumdar, P., & Muley, A. (2025). Determinants of Human Development Index (HDI): A Regression Analysis of Economic and Social Indicators. Asian Journal of Economics, Business and Accounting, 25(1), 26-34. http://arxiv.org/pdf/2502.00006v1

5. United Nations Development Programme (UNDP). (2025). Human Development Report 2025: A matter of choice: People and possibilities in the age of AI.