KEY
POINTS
อยู่ๆ ทรัมป์ก็ขึ้นภาษีนำเข้าทำเอาทั้งโลกปั่นป่วน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสหรัฐอเมริกาขึ้นมาครองอำนาจ ภาษีนำเข้าของอเมริกาก็ตกลงมาตลอด โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ปี 1980s เริ่มต้นยุคเสรีนิยมใหม่นีโอริเบอรัล เกิดเขตการค้าเสรีขึ้นมากมาย อเมริกาขยายความชอบธรรมของตลาดเสรีไปทั่วโลก เปิดให้มีการเคลื่อนตัวเข้าออกของทุนและลดกำแพงภาษีระหว่างประเทศ นับแต่นั้นมาสหรัฐอเมริกาก็ขาดทุนการค้ามหาศาลมาโดยตลอด (แม้จะในอัตราส่วน 5-6% ต่อ GDP แต่เราก็ต้องทราบด้วยว่า GDP ของไทยเทียบกับอเมริกานั้น แค่ประมาณ 3%)
เศรษฐกิจอเมริกาซึ่งเคยผลิตสินค้าอุตสาหกรรมใช้เองภายในประเทศ เมื่อมีการเปิดเสรีการโยกย้ายของทุน ก็เกิดการย้ายฐานการผลิตของทุนอุตสาหกรรม ไปยังประเทศรอบข้างที่มีแรงงานราคาถูกสร้างกำไรได้มากกว่า
เศรษฐกิจเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก จากภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวอยู่แล้วตามเศรษฐกิจที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ การที่ทุนอุตสหากรรมไหลออกไปประเทศข้างเคียงอย่าง เม็กซิโก หรือ ข้ามมาไกลยังจีน เร่งให้โครงสร้างการผลิตอุตสาหกรรมของเศรษฐกิจอเมริกาลดลงอย่างฉับพลันขึ้นไปอีก
แต่ทั้งนี้ การเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตออกจากอุตสาหกรรมใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี
เพราะการเร่งเปลี่ยนโครงสร้างไปสู่ภาคบริการ อาจจะสร้างเงินได้มากกว่า แถมการที่ประเทศกำลังพัฒนาส่งออกสินค้ามายังอเมริกามากขึ้น ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์จากสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาถูก คนอเมริกาในยุคเสรีนิยมใหม่นั้น ได้เปรียบประเทศอื่นๆ จากการที่ค่าเงินดอลล่าร์ เป็นเงินสกุลหลักที่ใช้ค้าขายกันทั่วโลก สินค้าราคาถูกหลั่งไหลเข้ามาในสหรัฐอเมริกา
อเมริกันชนที่มีการศึกษาใส่เสื้อปกขาวทำงานในออฟฟิศ ได้เปรียบกับสถานการณ์นี้อย่างมาก เนื่องจากพวกเขาทำงานในภาคบริการที่สร้างเงินได้เยอะ คนชนชั้นที่มีการศึกษาย้ายไปทำงานในภาคบริการ การเงิน สาธารณะสุข ฯลฯ แถมยังสามารถใช้เงินที่เพิ่มมานั้นมาซื้อสินค้านำเข้าราคาถูก จากประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นจากนโยบายการค้าเสรี
แต่การเปิดเสรีการค้าและการโยกย้ายของทุน เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตทิ้งคนกลุ่มใหญ่ไว้ข้างหลัง
แม้ชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานอเมริกา จะได้ประโยชน์จากสินค้าราคาถูก แต่รายได้ของพวกเขากลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม งานอุตสาหกรรมที่เคยเป็นแหล่งรายได้ที่ดีก็หดหายไป เมืองอุตสาหกรรมทั้งหลาย เช่น ที่ในเขต Rust Belt อย่างเมืองดีทรอยต์ที่เคยเป็นเมืองหลวงแห่งการผลิตรถยนต์ หรือ รัฐเพนซิลเวเนีย ที่ทำเหมืองเป็นแหล่งผลิตเหล็ก ถูกทิ้ง หากไม่ร้างก็เกือบจะร้าง
ชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นกลางในรัฐเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไป ลำบากมากขึ้นในการใช้ชีวิต ยังไม่นับถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นที่เพิ่มมากขึ้น รัฐบาลทรัมป์เลยออกนโยบายภาษี เล็งเห็นคะแนนเสียงจาก Swing States เพราะการเมืองประชาธิปไตยอเมริกัน ชี้ขาดกันที่เขต Rust Belt รัฐที่มีส่วนสำคัญที่สุด ในการเลือกประธานาธิบดีมาจากรัฐ และเมืองอุตสาหกรรมเหล่านี้ ประชาชนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในรัฐที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรม เมื่อเห็นนโยบายเช่นนี้ก็จะลงคะแนนเลือกฝั่งของทรัมป์
ความคิดเรื่องการส่งออกกับการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต และนโยบายควบคุมการค้านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
ในยุค 60s เคยมีการถกเถียงในสหราชอาณาจักรมาแล้ว เมื่อคนอังกฤษเห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของพวกเขาไม่เยอะเท่าตอนหลังสงครามโลก มิหน้ำซ้ำการผลิตอุตสาหกรรมก็ค่อยๆ หดตัวหลีกทางให้กับภาคบริการ หรือที่เราเรียกว่า Deindustrialization เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรไม่ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นดังก่อน การผลิตอุตสาหกรรมถูกการผลิตจากภาคบริการเบียดเข้ามา
ทำไมถึงต้องเน้นอุตสาหกรรม?
สมัยนั้นมีความเชื่อในทฤษฎีการเติบโตและพัฒนาว่า การผลิตอุตสาหกรรม เท่านั้นที่เป็นการผลิตเดียว ซึ่งมีอัตราส่วนต่อขยาย (increasing returns) นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกแนะนำให้ประเทศกำลังพัฒนาเปลี่ยนผ่านจากการผลิตเกษตรกรรม เข้ามาสู่ภาคอุตสาหกรรม เพื่อรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เปลี่ยนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่งคง เข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
ความคิดนี้ถูกพิสูจน์ด้วยการคำนวณเศรษฐมิติอันโด่งดัง ซึ่งกลายเป็นที่ถกเถียงกันครั้งแรกๆ ในประวัติศาสตร์เศรษฐมิติ (ผู้เขียนมีโอกาสและปลาบปลื้มเป็นอย่างมากได้เจออาจารย์ Francis Cripps ผู้ทำการคำนวณเศรษฐมิตินี้ เนื่องจากท่านใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทย) ในชื่อทฤษฎี Kaldor-Verdoorn’s Law โดยเสนอว่า การผลิตอุตสาหกรรม สร้างผลิตภาพแรงงาน และ นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ
การใช้ข้อมูลตัวเลขเชิงประจักษ์นี้ ทำให้คนในสังคมคล้อยตาม นโยบายรัฐสมัยนั้น พยายามฝืนไม่ให้ภาคบริการดึงเอาทรัพยากรการผลิตไปจากภาคอุตสาหกรรม แต่อย่างไรก็ไม่อาจต้านแรงผลักดันของการผลิตภาคบริการได้ เศรษฐกิจสหราชอาณาจักร และ ประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลกเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตไปสู่ภาคบริการ ซึ่งอาจจะสามารถสร้างรายได้มากกว่า
พวกนักเศรษฐศาสตร์ฝั่งซ้ายในสหราชอาณาจักร เห็นว่า ไม่ควรที่จะเร่งกระบวนการเปลี่ยนโครงสร้างไปสู่ภาคบริการ ด้วยการเปิดเสรีการค้า แต่ควรจะเปิดการค้าอย่างมีขอบเขต ไม่ให้มีผู้เสียประโยชน์จากความเหลื่อมล้ำ และการค้าที่ขาดดุลเกินดุลอย่างสุดโต่ง
ทฤษฎีนี้เรียกว่า Balance of Payments Constraint ซึ่งกล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะขึ้นกับการเติบโตของการส่งออก และจะเป็นไปอย่างที่มีผู้ได้ผู้เสียในการขาดดุลและเกินดุลทางการค้า เพราะฉะนั้น การค้าที่จะมีเสถียรภาพ คือ การค้าที่มีการควบคุมระหว่างประเทศ สร้างประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายอย่างทั่วถึง
สำหรับประเทศไทยเราซึ่งอาศัยโครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกอย่างสูง ย้อนแย้งกับการจ้างงานภาคเกษตรที่ยังมีขนาดใหญ่ไปกับภาคบริการ ในขณะที่ไม่มีภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแรง การเปลี่ยนโครงสร้างไปยังภาคบริการอย่างเดียว โดยข้ามภาคอุตสาหกรรมไปนั้นไม่ยั่งยืน
เรามีภาคบริการที่ใหญ่เป็นการผลิตปลายน้ำ แต่หากไม่มีการผลิตกลางน้ำและต้นน้ำ ไม่มีการผลิตสินค้าทุนที่เป็นอุปกรณ์และปัจจัยพื้นฐานของเทคโนโลยี และความรู้สำหรับการผลิตขั้นสุดท้าย การพึ่งพาที่การผลิตภาคบริการปลายน้ำอย่างเดียว จะเป็นไปไม่ได้ หากไม่มีการผลิตต้น และ กลางน้ำของภาคอุตสาหกรรม
สังคมเรามีปัญหาโครงสร้าง ที่จะทิ้งสามัญชนชนชั้นกลางไว้ข้างหลัง ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางไม่ได้
ยกตัวอย่างโรงพยาบาลและระบบสาธารณะสุขของไทยเรา ที่มีบุคลากรคุณภาพมากมาย มีระบบการศึกษาที่ผลิตหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ในด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน และยังครอบคลุมไปถึงการถกเถียงคุณค่าศีลธรรมในอาชีพ ที่เราเห็นระหว่างระบบส่วนกลางกับท้องถิ่น โรงพยาบาลรัฐกับเอกชน
แม้กระนั้น เราต้องยอมรับว่า ระบบสาธารณะสุขของเรามี ความเพียบพร้อมอย่างมาก จากความแตกต่างพหุนิยมเช่นนี้ แต่ทั้งนี้สิ่งที่ระบบสาธารณสุขไทยนั้น มีคุณค่ากระจุกอยู่ที่การบริการจากบุคคลากร แต่ขาดการผลิตอุตสาหกรรมต้นน้ำและกลางน้ำที่ ต้องใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้ซึ่งก็มีไม่ได้ขาด แต่กลับไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ หรือนำองค์ความรู้ของฝรั่งมาลงทุนในประเทศได้ เรานำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ในระดับไฮเอนท์ทั้งหมด แม้กระทั่งเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลเอกชนยังใช้ของนำเข้า
ทั้งๆ ที่ตลาดสาธารณสุขปลายน้ำของไทยนั้น มีขนาดใหญ่อย่างมาก แต่กลับไม่มีการผลิตต้นน้ำและกลางน้ำของอุปกรณ์และเทคโนโลยี ที่มาสนับสนุนการบริการสาธารณสุข ต้องนำเข้าเพียงอย่างเดียว เราเสียโอกาสอย่างมากที่จะกระจายผลประโยชน์ของภาคบริการสาธารณะสุข ไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อการกระจายรายได้และยกระดับผู้คนในสังคม