3 ปีกัญชาเสรี ใครได้ ใครเสีย

16 มิ.ย. 2568 | 07:53 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มิ.ย. 2568 | 08:03 น.

3 ปีกัญชาเสรี ใครได้ ใครเสีย : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย... ดร.สมทิพ วัฒนพงษ์วานิช คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4107

ประเทศไทยได้ปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด มาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565 จนถึงบัดนี้ก็ครบรอบ 3 ปีแล้ว หากเราลองย้อนกลับไปดูพัฒนาการของนโยบายกัญชาในประเทศไทย ก็จะพบการเปลี่ยนแปลงที่เป็นที่ถกเถียงอย่างมากในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เมื่อย้อนไปในอดีต ประเทศไทยได้บัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้แก่ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 โดยกฎหมายฉบับนี้เน้นการปราบปรามฝิ่นเป็นหลัก ภายหลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2468 กัญชาก็ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในบัญชียาเสพติดให้โทษ 

จนกระทั่งเกิดพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 เพื่อควบคุมกัญชาในทุกรูปแบบ ทั้งการเสพ การซื้อขาย รวมถึงการจำหน่ายอุปกรณ์การเสพหรือบ้องกัญชาด้วย อีกทั้งยังกำหนดโทษปรับและ/หรือจำคุกสำหรับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับกัญชา รวมแล้วเป็นระยะเวลากว่า 94 ปี (พ.ศ. 2468 - พ.ศ. 2561) ที่กัญชาถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษและถูกควบคุมอย่างเข้มงวด 

ในปี พ.ศ. 2562 กฎหมายควบคุมกัญชาได้ถูกผ่อนคลายลงเป็นครั้งแรก ด้วยการอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์การการวิจัยได้ โดยในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 ได้แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกัญชา

โดยให้เหตุผลในหมายเหตุตอนท้ายของพระราชบัญญัติฯ ว่ามีหลักฐานจากงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากกัญชาและพืชกระท่อมมีประโยชน์ทางการแพทย์ หลายประเทศทั่วโลกจึงได้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย เพื่ออนุญาตให้ประชาชนสามารถใช้กัญชาและพืชกระท่อมในการรักษาโรค 

ด้วยเหตุนี้ จึงอนุญาตให้มีการผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (กัญชาและพืชกระท่อม) ในกรณีจำเป็น เพื่อสิทธิในการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย การวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์ ตลอดจนความมั่นคงด้านยาของประเทศ  

โดยจะต้องได้รับใบอนุญาตตามกฎหมาย มีผลตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 (พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ, 2562) ซึ่งจากการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ ประเทศไทยจึงเป็นประเทศแรกในอาเซียน ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาและพืชกระท่อม เพื่อการแพทย์และการวิจัย โดยยังไม่อนุญาตให้ใช้เพื่อสันทนาการ และยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด และต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น 

ต่อมา พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564 ก็ได้ยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ เพื่อให้สอดคล้องกับหลายประเทศทั่วโลกที่ไม่จัดพืชกระท่อมเป็นยาเสพติด รวมถึงในบริบทของสังคมไทยบางพื้นที่ที่มีการบริโภคพืชกระท่อม (พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ, 2564) 

และในปี พ.ศ. 2565 กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมกัญชาในประเทศไทย ได้ผ่อนคลายลงอย่างมาก โดยในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 ได้กำหนดให้ทุกส่วนของพืชกัญชาและกัญชง รวมถึงสารสกัดที่มีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol: THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 ไม่ถูกจัดว่าเป็นยาเสพติดอีกต่อไป โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565 (ประกาศกระทรวงสาธารณสุข, 2565) 

ด้วยเหตุนี้ ประชาชนทั่วไปจึงสามารถปลูกกัญชาและกัญชงได้โดยไม่ต้องขออนุญาต เพียงแต่จดแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ” ของสำนักงานอาหารและยา (อย.) เพื่อแจ้งวัตถุประสงค์และรับเอกสารจดแจ้งทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยประชาชนสามารถนำส่วนต่าง ๆ ของพืชกัญชาและกัญชง มาพัฒนาและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง และสมุนไพร เพื่อนำมาบริโภคและจัดจำหน่ายได้

นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีหรือเคยกระทำความผิดใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกัญชา ทั้งการเสพ ผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ก็ถือว่าไม่มีความผิดหรือพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดด้วย (Ilaw, 2565a)

ภาวะสุญญากาศทางกฎหมายและการผลักดันร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง พ.ศ. ....

ภายหลังจากการปลดล็อกกัญชา ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ก็เป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะสุญญากาศทางกฎหมาย ในการควบคุมกัญชา มีร้านจำหน่ายกัญชา อาหารและเครื่องดื่มที่ผสมกัญชาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากโดยไม่มีการควบคุม และก่อให้เกิดผลกระทบเกิดเป็นวงกว้าง

เช่น มีร้านขายกัญชาจำนวนมากตั้งอยู่ใกล้กับสถานศึกษาที่เยาวชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย มีการสูบกัญชาในที่สาธารณะ มีผู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่ผสมกัญชาโดยไม่แจ้งให้ผู้บริโภคทราบ 

รวมถึงเกิดผลกระทบการทางสุขภาพ อันจะเห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยจากการใช้กัญชาที่เพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดภาระแก่ระบบสาธารณสุขของประเทศ

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการเรียกร้องให้นำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดให้โทษและ/หรือออกกฎหมายควบคุมกัญชาเพื่อลดผลกระทบ จนก่อให้เกิดการผลักดันร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง พ.ศ. .... ขึ้น ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยที่มีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น (Ilaw, 2565b) เช่น 

(1) การปลูก โดยแยกระหว่างการปลูกกัญชาในเชิงพาณิชย์กับการปลูกในครัวเรือน โดยการปลูกกัญชาในเชิงพาณิชย์ ต้องขออนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการแพทย์ วิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรม สำหรับการปลูกในครัวเรือนต้องมีการจดแจ้ง และจำกัดการปลูกไม่เกิน 15 ต้นต่อครัวเรือน เว้นแต่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ 

(2) การจำหน่าย ผู้ที่ต้องการขายกัญชา หรือ สารสกัดจะต้องขอใบอนุญาต และห้ามจำหน่ายให้แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และสตรีมีครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร รวมถึงควบคุมสถานที่และช่องทางการจำหน่าย โดยห้ามขายในสถานที่สาธารณะ เช่น ศาสนสถาน สถานศึกษา หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก ห้ามขายผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) และช่องทางออนไลน์ 

(3) การสูบ โดยห้ามสูบกัญชา หรือ สารสกัดในที่สาธารณะ เช่น ศาสนสถาน สถานที่ราชการ สถานศึกษา สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง สวนสาธารณะ สวนสนุก และร้านอาหาร รวมถึงห้ามขับขี่ยานพาหนะในขณะมึนเมากัญชาหรือสารสกัด

สถานการณ์กัญชาในประเทศไทย 

ประเด็นเรื่องสถานการณ์กัญชาในประเทศไทยนั้น ทวีความรุนแรงมากขึ้น ภายหลังจากการปลดล็อกกัญชา ในปี พ.ศ. 2565 อันเนื่องมาจากสองส่วนหลัก คือ การเพิ่มขึ้นทางด้านอุปสงค์ (Demand) ได้แก่ จำนวนผู้ใช้กัญชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสันทนาการ และการเพิ่มขึ้นทางด้านอุปทาน (Supply) ได้แก่ จุดจำหน่ายกัญชา

ข้อมูลจากโครงการสำรวจความรู้ ความเข้าใจ และความคิดเห็นของประชาชนต่อเรื่องกัญชาทางการแพทย์ และการใช้แบบสันทนาการ พ.ศ. 2563 ที่จัดทำโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด แสดงให้เห็นว่าสัดส่วนประชาชนอายุ 15 ปี ขึ้นไป ที่เคยใช้กัญชาในเพศชายนั้นสูงกว่าเพศหญิงอย่างชัดเจน เมื่อจำแนกตามวัตถุประสงค์การใช้ ก็พบว่า การสูบเพื่อสันทนาการมีสัดส่วนที่สูงสุด 

โดยในตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างเพศชาย 14.4% เคยใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ สูงกว่ากลุ่มตัวอย่างเพศหญิงที่ 0.8% ถึง 18 เท่า สำหรับวัตถุประสงค์อื่น ๆ ได้แก่ การใช้เพื่อปรุงอาหาร 7.3% และ 1.8% และการใช้เพื่อรักษาโรค 1.5% และ 0.8% ในกลุ่มตัวอย่างเพศชายและเพศหญิง ตามลำดับ (สถาบันวิจัยประชากรและสังคม, 2566)

ผู้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการในสัดส่วนที่สูงนี้ สอดคล้องกับข้อมูลจากงานเสวนาวิชาการเรื่อง “ผลกระทบจากนโยบายกัญชา บทเรียนจากต่างประเทศและข้อห่วงใยจากประชาชน” ที่จัดโดยสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และมีการนำเสนอสถิติเกี่ยวกับการใช้กัญชาในช่วงปี พ.ศ. 2563-2565 

โดยผลประมาณการคนไทยที่ใช้กัญชาในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ในปี พ.ศ. 2565 เมื่อกัญชาถูกถอดออกจากบัญชียาเสพติดแล้วนั้น พบว่า มีคนไทยอายุ 18-65 ปี ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการสูงถึง 11,105,989 คน เพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าจาก 1,155,332 คน ในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งในจำนวน 11 ล้านคนนี้ คนส่วนใหญ่ราว 8 ล้านคนใช้กัญชาผสมในอาหาร โดยมีเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี อยู่ในกลุ่มนี้ประมาณสามแสนคน 

ในขณะที่คนไทยที่ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ ในปี พ.ศ. 2565 จำนวน 539,860 คน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2563 ที่มีจำนวน 427,866 คน สะท้อนให้เห็นว่าภายหลังจากการปลดล็อกกัญชา มีผู้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการมากกว่าทางการแพทย์เป็นอย่างมาก (Hfocus, 2566; TDRI, 2567)  

ข้อมูลจากเวทีนำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “ผลกระทบทางสังคมและสุขภาพ จากการประเมินและกำกับติดตามนโยบายกัญชา” ที่จัดโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) พบว่า ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 ประเทศไทยมีจุดจำหน่ายกัญชารวม 7,747 จุด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 5,600 จุดในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 โดยพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีจุดจำหน่ายกัญชามากถึง 1,122 จุด และ จังหวัดนนทบุรี มีจุดจำหน่ายกัญชา 1,114 จุด  

โดยคนไทยอย่างน้อย 1 ใน 4 คน สามารถเข้าถึงจุดจำหน่ายกัญชาได้ภายในรัศมี 400 เมตรรอบบ้าน และคนไทย 1 ใน 11 คน อาศัยอยู่บ้านที่มีการปลูกกัญชาในครัวเรือน  

นอกจากนี้ ยังพบว่า มีการโพสต์จำหน่าย หรือ โฆษณาผลิตภัณฑ์กัญชา บนช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น X (Twitter), Facebook, Line เป็นต้น

สำหรับสถิติการใช้กัญชาในปี พ.ศ. 2566 นั้น พบว่า คนไทยอย่างน้อย 1 ใน 5 คน เคยใช้กัญชา ผู้ชายใช้กัญชาคิดเป็น 20-35% สูงกว่าผู้หญิงที่คิดเป็น 10-15% ส่วนใหญ่ใช้เพื่อสันทนาการ โดยในกลุ่มเด็กและเยาวชน พบว่า เยาวชนนอกสถานศึกษามีสัดส่วนผู้ใช้กัญชาสูงสุด (47.6%) ตามมาด้วยนักศึกษาระดับปริญญาตรี (17.1%) และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา (11.8%) ซึ่งเยาวชนมักใช้กัญชาร่วมกับสารเสพติดชนิดอื่นด้วย (Hfocus, 2567)

ในมุมมองด้านเศรษฐกิจ นโยบายกัญชาเสรีก็สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการแพทย์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และความงาม หลายคนหันมาปลูกกัญชาเชิงพาณิชย์เพื่อเพิ่มรายได้ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชาก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

อีกทั้ง ยังเป็นการส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาในการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ และภาวะความเจ็บปวดเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษาที่หลากหลายมากขึ้น

แม้ว่ากัญชาจะมีประโยชน์ทางการเศรษฐกิจและการแพทย์ แต่การใช้อย่างไม่เหมาะสม หรือ การใช้ในกลุ่มเยาวชนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น การเสพติด ปัญหาสุขภาพจิต หรือ การเกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเสพติด รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจากการใช้กัญชาที่เพิ่มขึ้น 

โดยข้อมูลจากเวทีเสวนา “ครบรอบ 3 ปี กัญชาเสรี ... สังคมไทยได้อะไร” ที่จัดโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติดและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพบว่า มีผู้ป่วยภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เข้ารับการรักษาพยาบาล อันเนื่องมาจากการใช้กัญชา เช่น ภาวะพิษจากกัญชา และปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของรัฐเพิ่มสูงขึ้น 

จากการประเมินพบ ว่า ในปี พ.ศ. 2566 ภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจากกัญชามีมูลค่าสูงถึง 15,828.51 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ, 2568) สะท้อนถึงภาระทางเศรษฐกิจที่ภาครัฐและสังคมต้องแบกรับเพิ่มขึ้นตามมา นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์กัญชาในท้องตลาดอีกด้วย 

จะเห็นได้ว่า นโยบายกัญชาเสรีในประเทศไทยสร้างทั้งโอกาสและความท้าทาย ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ต้องสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการแพทย์ กับการควบคุมผลกระทบทางสังคมและสุขภาพ โดยเฉพาะการใช้เพื่อสันทนาการ การดูแลความปลอดภัยของประชาชน ภาระด้านสาธารณสุขของรัฐ รวมถึงปัญหาในการบังคับใช้กฎหมาย และการจัดการข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาอีกด้วย ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการพิจารณานโยบายที่เหมาะสมต่อไป

เอกสารอ้างอิง :

กรุงเทพธุรกิจ. (2568). ครบ 3 ปี 'กัญชาเสรี' สังคมไทยได้อะไร? คุ้มไหมที่ปลดล็อก!. สืบค้น 10 มิถุนายน 2568 จาก https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1183986

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565. (2565). ราชกิจจานุเบกษา, 139 (35 ง) ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565.

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562. (2562). ราชกิจจานุเบกษา, 136 (19 ก) ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562. 

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564. (2564). ราชกิจจานุเบกษา, 138 (35 ก) ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2564. 

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม (2566). สุขภาพคนไทย 2566: คำสัญญาของไทยใน “คอป” (COP: Conference of Parties) กับการรับมือ “โลกรวน”. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.

Hfocus. (2566). ห่วง! คนไทยใช้กัญชาเชิงสันทนาการ พุ่งแซงใช้ทางการแพทย์ จี้รัฐยกเลิกประกาศปลดล็อค. สืบค้น 10 มิถุนายน 2568, จาก https://www.hfocus.org/content/2023/02/27036

Hfocus. (2567). เผยผลวิจัยหลัง “ปลดล็อกกัญชา” คนไทย 1 ใน 5 เคยใช้ พบจุดจำหน่ายเกือบ 8 พันจุด. สืบค้น 10 มิถุนายน 2568, จาก https://www.hfocus.org/content/2024/05/30411

Ilaw. (2565a). เริ่มวันแรก! ปลดล็อคกัญชาออกจากยาเสพติด. สืบค้น 10 มิถุนายน 2568, จาก
https://www.ilaw.or.th/articles/5257

Ilaw. (2565b). ร่าง พ.ร.บ.กัญชา: ส่องมาตรการควบคุมกัญชาหลังถูกปลดจากบัญชียาเสพติด. สืบค้น 10 มิถุนายน 2568, จาก https://www.ilaw.or.th/articles/5534

TDRI. (2567). แผนงานวิจัยการประเมินสถานการณ์และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมจากกัญชา และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง. สืบค้น 10 มิถุนายน 2568, จาก 
https://tdri.or.th/2024/03/seminar-cannabis-suggestion/