KEY
POINTS
องค์การสหประชาชาติรายงานว่า ปี ค.ศ. 2024 ประชากรโลกที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีประมาณ 770 ล้านคน หรือราว 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1,600 ล้านคน ภายในปี 2050 ซึ่งคิดเป็นเกือบหนึ่งในหกของโลก
ที่สำคัญคือ ในช่วงปลายทศวรรษ 2070 ผู้สูงอายุจะมีจำนวนมากกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นั่นหมายความว่า โลกของเรากำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สำหรับประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ปัจจุบันเรามีผู้สูงอายุเกิน 13 ล้านคน หรือเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด และในปี 2031 ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) และในปี 2050 ผู้สูงอายุไทยคาดว่าจะมีจำนวนเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมด เทียบได้กับญี่ปุ่นในปัจจุบัน
อัตราพึ่งพิงผู้สูงอายุ หรือ Old-age Dependency Ratio ของไทยก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอยู่ที่ 20 คนต่อวัยแรงงาน 100 คน และจะเพิ่มเป็นเกือบ 50 คนต่อวัยแรงงาน 100 คน ในปี 2050
สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ ทั้งแรงงานวัยทำงานลดลง ภาระงบประมาณด้านบำนาญ และสาธารณสุขสูงขึ้น หากไม่มีการปรับตัว เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตต่ำกว่าปัจจุบันที่ราว 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปีในระยะยาว
เมื่อประชากรสูงวัยมากขึ้น โครงสร้างแรงงานก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สามารถแบ่งเป็น 3 มิติหลัก
1.การสูงวัยของแรงงาน (Workforce Ageing) – อายุเฉลี่ยของแรงงานสูงขึ้น
2.การหดตัวของแรงงาน (Workforce Decline) – ผู้เกษียณเพิ่มขึ้น ขณะที่คนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานน้อยลง
3.อัตราพึ่งพิงผู้สูงอายุ (Old-age Dependency Ratio) – ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับวัยทำงาน
กลไกของแรงงานสูงวัยที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ช่องทางหลัก
1. ช่องทางด้านผลิตภาพ (Productivity Channel)
โดยทั่วไป พบว่า ผลิตภาพของแรงงานสูงวัยมีแนวโน้มลดลงตามอายุ มีลักษณะเป็นกราฟโค้ง U คว่ำ สูงสุดราวช่วงอายุ 40–49 ปี หลังจากนั้นผลิตภาพเฉลี่ยลดลง สาเหตุหลักคือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์และการสร้างนวัตกรรมที่มักจะถึงจุดสูงสุดในวัยกลางคน ขณะที่วัยสูงอายุอาจมีข้อจำกัดเรื่องสุขภาพและความเร็วในการทำงาน
อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุยังมีคุณค่าในงานที่ต้องใช้ประสบการณ์ ความรอบคอบ และ บางครั้งยังทำได้ดีกว่าคนหนุ่มสาว
หากผู้สูงอายุได้รับการใช้ทักษะที่เหมาะสม เช่น งานที่ต้องการประสบการณ์ ความรอบคอบ การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และทักษะการสื่อสาร ผลิตภาพของพวกเขาก็ยังสูง และอาจสร้างประโยชน์แก่บริษัทได้เช่นกัน
2. ช่องทางด้านอุปทานแรงงาน (Labor-supply Channel)
บางมุมมองกังวลว่า การที่ผู้สูงอายุทำงานนานขึ้น อาจแย่งงานคนรุ่นใหม่ แต่หลักฐานหลายชิ้นชี้ว่า นี่อาจเป็นความเข้าใจผิด หรือที่เรียกว่า Lump of Labor Fallacy เพราะในความเป็นจริง ทักษะของแรงงานสองกลุ่มไม่เหมือนกัน และมักจะเสริมกันมากกว่าทดแทนกัน
ที่สำคัญ ในระดับครอบครัวก็มีความซับซ้อน เช่น ถ้าผู้สูงอายุยังทำงานอยู่ ก็อาจมีเวลาช่วยเลี้ยงดูหลานน้อยลง ทำให้ลูกหลานต้องลดชั่วโมงทำงาน แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากผู้สูงอายุมีรายได้ ก็สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้เช่นกัน
ในระดับองค์กร การมีแรงงานสูงอายุมีทั้งข้อดีและข้อเสีย บางงานวิจัยพบว่า หากแรงงานสูงอายุมีมากเกินไป อาจลดมูลค่าเพิ่มของบริษัทโดยเฉพาะในธุรกิจที่ต้องการนวัตกรรมสูง เช่น ICT แต่บางงานวิจัยชี้ว่าความหลากหลายด้านอายุช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพราะคนรุ่นเก่ามีประสบการณ์ ส่วนคนรุ่นใหม่มีทักษะดิจิทัล เกิดการเสริมกัน
ด้านนวัตกรรมและผู้ประกอบการ พบว่า เมื่อสังคมสูงอายุ นวัตกรรมอาจลดลง เช่น จำนวนการยื่นจดสิทธิบัตรต่อประชากรลดลง 15–30% เพราะนักประดิษฐ์และผู้ก่อตั้งธุรกิจใหม่ส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคน ช่วงอายุ 38–45 ปี หากสังคมสูงอายุเกินไป อาจทำให้ธุรกิจใหม่ชะลอตัวและลดพลวัตเศรษฐกิจ
คำถามสำคัญคือ หากผู้สูงอายุทำงานนานขึ้น จะ “แย่งงาน” คนรุ่นใหม่หรือไม่?
บางงานวิจัยตอบว่า ใช่ โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจชะลอตัว แต่หลายงานวิจัยโต้แย้งว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะทักษะและตำแหน่งงานมักต่างกัน แรงงานสูงวัยและคนรุ่นใหม่ มักเสริมกันมากกว่าทดแทนกัน
ในครอบครัว ผลกระทบสองด้านเช่นกัน หากผู้สูงอายุทำงานต่อ อาจมีเวลาช่วยเลี้ยงหลานน้อยลง แต่หากมีรายได้ ก็สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่าย ทำให้ลูกหลานทำงานเต็มเวลาได้
คำตอบสำคัญคือ สุขภาพ
งานวิจัยเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาวมองว่าสุขภาพ คือ การลงทุนในทุนมนุษย์ หากรัฐลงทุนด้านสาธารณสุขมากขึ้น ผู้สูงอายุสามารถทำงานได้นานขึ้น ผลิตภาพสูงขึ้น และลดอัตราเกษียณก่อนวัย ตัวอย่างเช่น การลดอัตราความพิการของผู้สูงอายุ 5% สามารถลดผลกระทบเชิงลบต่อ GDP ต่อหัวได้ 0.2–0.4%
ในกรณี ASEAN+3 หากรัฐใช้จ่ายด้านสุขภาพ 2% ของ GDP ก็ช่วยยืดอายุแรงงานสูงอายุให้ทำงานได้ยาวนานและมีประสิทธิภาพ
ตรงกันข้าม หากสุขภาพไม่ดี ผู้สูงอายุมักออกจากงานเร็วขึ้น ตัวเลขในยุโรปชี้ว่า คนอายุ 50–63 ปีที่สุขภาพไม่ดีมีโอกาสเกษียณก่อนวัยสูงกว่าคนทั่วไป 18%
สรุปได้ว่า แรงงานสูงวัยไม่ใช่ปัญหา แต่สุขภาพของแรงงานสูงวัย เป็นตัวแปรชี้ขาด การลงทุนด้านสุขภาพ โดยเฉพาะงบประมาณสาธารณสุข จึงสำคัญต่อเศรษฐกิจ
แม้มีข้อกังวล แต่แรงงานสูงอายุอาจกลายเป็น “ทุนมนุษย์” (Human Capital) ที่มีคุณค่า ถ้ามีเงื่อนไขสนับสนุนที่เหมาะสม ได้แก่:
1.การลงทุนในทักษะและการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning):
• นโยบาย Reskilling / Upskilling ให้แรงงานสูงอายุสามารถทำงานในเศรษฐกิจดิจิทัลหรือบริการมูลค่าสูง
• การสร้างระบบฝึกอบรมที่ยืดหยุ่น เช่น Online Learning, Micro-credentials
2.การปรับรูปแบบการทำงาน (Workplace Adaptation):
• งาน Part-time, งานยืดหยุ่นเวลา, งานที่ใช้ประสบการณ์มากกว่าพละกำลัง
• การใช้เทคโนโลยีช่วยลดข้อจำกัดทางร่างกาย เช่น Automation, Digital Platforms
3. การใช้ประโยชน์จากทุนทางสังคมและประสบการณ์ (Social & Experiential Capital):
• แรงงานสูงอายุมีทักษะเชิงประสบการณ์ เครือข่าย และ soft skills เช่น การเจรจา บริหารจัดการ ที่สามารถถ่ายทอดสู่รุ่นใหม่
• สามารถทำงานที่เน้น “Mentorship” หรือ “Knowledge Transfer”
4.นวัตกรรมและสุขภาพ (Health & Innovation):
• การลงทุนด้านสุขภาพทำให้แรงงานสูงอายุมีสุขภาพดีขึ้น → ยืดอายุการทำงาน → ลดภาระสาธารณสุข
• เทคโนโลยีด้าน Health Tech และการแพทย์ป้องกัน (Preventive Healthcare) เป็นตัวแปรสำคัญ
บทเรียนจากต่างประเทศ
• ญี่ปุ่น: สร้างนโยบาย Silver Economy ให้ผู้สูงอายุทำงานต่อได้ ทั้งในภาคบริการ เทคโนโลยี และธุรกิจ start-up
•ยุโรป: หลายประเทศใช้ระบบ Lifelong Learning + นโยบายจ้างงานยืดหยุ่น
•เกาหลีใต้: ส่งเสริม “Re-employment” สำหรับผู้เกษียณและใช้พลังผู้สูงวัยในงานวิจัย-ที่ปรึกษา
แนวนโยบาย: ทำอย่างไรให้ “สูงวัย” กลายเป็น “ทุน”
1.ปรับระบบเกษียณให้ยืดหยุ่นตามอาชีพ → เลื่อนอายุเกษียณหรือสร้างทางเลือกการจ้างงาน
2.ส่งเสริม “เศรษฐกิจสีเงิน” (Silver Economy) เช่น ธุรกิจบริการสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การศึกษา และธุรกิจดูแลผู้สูงวัย
3.ลงทุนใน Health + Human Capital ไปพร้อมกัน → ทำให้ผู้สูงอายุ “productive longer”
4.การสร้างกลไกแรงจูงใจให้เอกชนจ้างแรงงานสูงอายุ เช่น มาตรการภาษี / เงินอุดหนุน
โลกในอนาคตจะมีผู้สูงอายุมากกว่าคนหนุ่มสาว คำถามไม่ใช่ว่าเราจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่คือ เราจะทำให้ผู้สูงอายุมีบทบาททางเศรษฐกิจอย่างไร และเราจะเปลี่ยน “ภาระ” ให้เป็น “พลัง” ได้หรือไม่
คำตอบอยู่ที่ สุขภาพ การลงทุนเชิงนโยบาย และ มุมมองของสังคม
คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย...รศ.ดร.มนชยา อุรุยศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ