KEY
POINTS
ท่านผู้อ่านที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือ แพทย์ อาจจะคุ้นเคยกับศัพท์วิชาการว่า “Myopia” ซึ่งแปลว่า ภาวะสายตาสั้น คำสามัญในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า “Near-sightedness” นะครับ ทางตะวันตกจะคิดว่าการมองไกลๆ ไม่เห็น คือภาวะสายตาใกล้ครับ
ก่อนอื่น ผมชวนทุกท่านลองตอบคำถามต่อไปนี้ดูนะครับ
สถานการณ์ที่หนึ่ง มีทางเลือกให้ท่านสองทางครับ
ทางเลือก A คือ ท่านจะได้รับเงิน 5,000 บาท ในวันนี้
ทางเลือก B คือ ท่านจะได้รับเงิน 8,000 บาท ในอีกหนึ่งเดือน
หลายๆ ท่านอาจเลือก A โดยทันที แม้ว่าการรอหนึ่งเดือนจะให้ผลตอบแทน 60% สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ให้คุณค่ากับปัจจุบันมากกว่าอนาคต
มาลองสถานการณ์ที่สองดูครับ ทุกท่านจะเลือกทางใดระหว่าง
ทางเลือก A เราควรให้มีการกู้หนี้สาธารณะมาแจกโทรศัพท์มือถือฟรีๆ แก่ทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข
ทางเลือก B เราควรนำเงินกู้จำนวนเดียวกันลงทุนในโครงสร้างสาธารณะ เพื่อป้องกันภัยพิบัติจากธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง หรือ น้ำท่วม ในอีก 50 ปี ข้างหน้า
หากคำนึงถึงประโยชน์ของการใช้เงินในระยะยาวแล้ว ทางเลือก B ควรให้ประโยชน์มากกว่า แต่การเห็นผลใช้เวลานานมาก จึงทำให้ประชาชนมีแนวโน้มต้องการเลือกทางเลือก A มากกว่า
ในทางเศรษฐศาสตร์ myopia จึงหมายถึงการมองการณ์สั้น การให้ค่าน้ำหนักกับประโยชน์ปัจจุบันเกินกว่าที่ควร เมื่อเทียบกับประโยชน์ในอนาคต พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากความไร้เหตุผลเสมอไป หากแต่สะท้อนข้อจำกัดด้านสังคม แรงจูงใจทางการเมือง และโครงสร้างตลาด ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ในหลายระดับและภาคส่วน ได้แก่
1. การมองการณ์สั้นในระดับบุคคล
ผู้ที่ให้น้ำหนักกับความสุขในปัจจุบันมากเกินไป มักมีการออมที่น้อย มักก่อหนี้สูง และ ลงทุนพัฒนาทักษะความรู้กับตนเองไม่เพียงพอ ทำให้ผู้คนเลือกผลประโยชน์ทันทีมากกว่าการเก็บออมเพื่อเกษียณ
ผลที่ตามมาคือ การสะสมความมั่งคั่งต่ำ และการพึ่งพิงรัฐในระยะยาว ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพการคลังและความยั่งยืนข้ามรุ่น
2. การมองการณ์สั้นในภาคธุรกิจ
บริษัทที่ถูกกดดันจากผู้ถือหุ้นและตลาดทุน มักเน้นผลกำไรรายไตรมาส มากกว่าความสามารถแข่งขันในระยะยาว เช่น การวิจัยและการพัฒนาบุคลากร ปรากฏการณ์นี้สะท้อนการลดทอนการลงทุนในนวัตกรรม ให้ความสามารถในการแข่งขันระดับประเทศถดถอย
3. การมองการณ์สั้นในนโยบายรัฐ
รัฐบาลมักตัดสินใจภายใต้แรงกดดันจากวัฏจักรการเลือกตั้ง ทำให้นักการเมืองเลือกใช้นโยบายประชานิยมระยะสั้น เช่น แจกประโยชน์มากกว่าการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน หรือ การส่งเสริมประชาชนที่จะพัฒนาเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อการแข่งขันระดับสากล
หากนโยบายมีลักษณะมองการณ์ใกล้ ก็จะสร้างหนี้สาธารณะโดยไม่เสริมศักยภาพแรงงาน สุดท้ายจะเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มที่มีรายได้สูงสามารถลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาวได้ ขณะที่กลุ่มรายได้น้อย ติดอยู่กับการอยู่รอดระยะสั้น ทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจ และสังคมกว้างขึ้น
สุดท้ายนี้ ผมอยากเชิญชวนทุกท่านแสดงความรักต่อชนรุ่นหลานของท่าน ด้วยการมองการณ์ไกล ไม่ส่งเสริมนโยบายประชานิยม ที่เพิ่มการก่อหนี้โดยไม่สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม และส่งเสริมการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว เช่น ความไม่เท่าเทียมทางอำนาจ ความไม่โปร่งใสในการบริหารและตรวจสอบ เป็นต้น รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยืนครับ