KEY
POINTS
ในยุคที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ หนึ่งในความท้าทายสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) คือการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นประชากรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถือเป็นกลไกสำคัญอันหนึ่ง ที่ภาครัฐใช้ในการรับมือกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจของผู้สูงวัย ประเทศไทยได้เริ่มมีนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 โดยมุ่งหวังให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ผ่านการจ่ายเงินสวัสดิการรายเดือนในจำนวน 200 บาท ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 และ 2549 ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท และ 500 บาทตามลำดับ
จากจุดเริ่มต้นที่จำกัดเฉพาะผู้มีรายได้น้อย นโยบายดังกล่าวได้ขยายผลมาเป็น "เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้า" ในปี พ.ศ. 2552 ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปที่ไม่มีสวัสดิการบำนาญอื่นๆ จากภาครัฐ (เช่น บำนาญข้าราชการ หรือ บำนาญประกันสังคม) สามารถเข้าถึงเงินช่วยเหลือ 500 บาทต่อเดือนได้โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบรายได้
และในปี พ.ศ. 2554 จนถึงปัจจุบันรัฐบาลได้ปรับอัตราเบี้ยยังชีพตามช่วงอายุเป็นขั้นบันได ได้แก่ อายุ 60-69 ปี ได้รับ 600 บาท, อายุ 70-79 ปี ได้รับ 700 บาท, อายุ 80-89 ปี ได้รับ 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับ 1,000 บาทต่อเดือน จากข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุในปี พ.ศ. 2565 มีจำนวนผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอยู่ทั้งหมด 11,330,287 คนทั่วประเทศ
จากงานวิจัยในอดีตพบว่า การได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ สามารถส่งผลต่อผู้สูงวัยในหลากหลายมิติ อาทิเช่น ความอยู่ดีมีสุข ผลกระทบเชิงสุขภาพ พฤติกรรมการบริโภค เป็นต้น
ในวันนี้ผู้เขียนอยากจะมาเล่าให้ฟังถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่ผู้เขียนและผู้ร่วมวิจัยมีโอกาสทำการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงวัย กับผลกระทบต่อความอยู่ดีมีสุขในบริบทของประเทศไทย งานวิจัยชิ้นนี้มีชื่อว่า “The impact of old age pension on subjective well-being: Evidence from Thailand ”
ก่อนอื่นขอกล่าวถึงความหมายของความอยู่ดีมีสุข หรือ subjective well-being ว่าคือ การรับรู้หรือความรู้สึกส่วนตัวของบุคคลต่อคุณภาพชีวิตของตนเอง โดยไม่ได้หมายถึงแค่เพียง “ความสุข” เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง ความพึงพอใจในชีวิต (life satisfaction) ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในด้านต่างๆ
โดยทั่วไปความอยู่ดีมีสุข มักวัดผ่านการตอบแบบสอบถาม โดยในงานวิจัยชิ้นนี้ เราวัดความอยู่ดีมีสุขด้วยคะแนนระหว่าง 0-10 โดยยิ่งคะแนนสูงแสดงถึงความอยู่ดีมีสุขที่สูงมากยิ่งขึ้น ในทางทฤษฎีการได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ สามารถส่งผลต่อความอยู่ดีมีสุขผ่านหลายช่องทาง เช่น การเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน และลดภาวะพึ่งพิงด้านรายได้ (financial security)
การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพต่างๆ (health and well-being) การสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (social participation) และ ความรู้สึกถึงการมีคุณค่าในตนเอง (psychological impact) ซึ่งทั้งหมดนี้อาจส่งผลเชิงบวกต่อความพึงพอใจในชีวิตและสุขภาพจิตของผู้สูงอายุได้
ผู้เขียนและผู้ร่วมวิจัยใช้ข้อมูลจากโครงการสำรวจด้านสุขภาพ การสูงวัย และการเกษียณในประเทศไทย (Health Aging and Retirement in Thailand (HART)) ซึ่งชุดข้อมูลนี้ถูกจัดเก็บโดยศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ข้อมูลที่นำมาศึกษามาจากปี พ.ศ. 2558 และ 2563 โดยพิจารณาเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความอยู่ดีมีสุขอย่างครบถ้วน รวมทั้งหมด 5,159 คน จากคะแนนดิบ 0-10 เราสามารถแบ่งความอยู่ดีมีสุขได้ 3 ระดับ คือ ระดับสูง ปานกลาง และ ต่ำ จากการประมาณการโดยใช้แบบจำลองทางสถิติ ซึ่งทำการควบคุมปัจจัยต่างๆ เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า โดยทั่วไปแล้วการได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงวัยไม่ได้มีผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ต่อความอยู่ดีมีสุขของผู้สูงวัยในบริบทของประเทศไทย แต่สำหรับผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ และได้รับเบี้ยยังชีพนั้นพบว่า มีความอยู่ดีมีสุขที่สูงกว่าผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และภูมิภาคอื่นๆ
นอกจากนั้น ผลการวิเคราะห์ยังบ่งชี้ว่า การได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลต่อความอยู่ดีมีสุขมากกว่าในปี พ.ศ. 2558 เล็กน้อย เนื่องจากการได้รับเงินสนับสนุนในที่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ น่าส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความอยู่ดีมีสุขของผู้สูงอายุได้มากกว่าในช่วงเวลาปกติ
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังแสดงให้เห็นอีกว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความอยู่ดีมีสุขของผู้สูงอายุในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การมีสุขภาพกายที่ดี ความพึงพอใจในแง่ของรายได้ การอยู่ในสถานภาพสมรส และการอาศัยอยู่ในเขตเมือง
บทความนี้สะท้อนให้เห็นว่า การได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอาจส่งผลกระทบเชิงบวกบ้างเล็กน้อย ต่อความอยู่ดีมีสุขในประเทศไทยขึ้นอยู่กับภูมิภาคที่ผู้สูงอายุอาศัย และขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ได้รับเงินสนับสนุนนี้ แต่ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กำหนดความสุข หรือ คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
ปัจจัยด้านสุขภาพ ความพึงพอใจต่อรายได้ และโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตในวัยเกษียณ มีบทบาทสำคัญมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การจัดให้มีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความคุ้มครองทางสังคม (social protection) ให้แก่ผู้สูงวัยในประเทศไทย แต่ต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดว่า จะทำอย่างไรให้ระบบเบี้ยยังชีพมีความยั่งยืน มีความครอบคลุมที่เหมาะสม และนำมาซึ่งผลกระทบเชิงบวกต่อผู้สูงวัยในมิติต่างๆอย่างแท้จริง
คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย... รศ.ดร.กรรณิการ์ ดำรงค์พลาสิทธิ์ คณะเศรษฐศาสตร์ และ ศูนย์เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย