KEY
POINTS
เมื่อวันก่อน ผมได้พาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผมเคารพ ไปพบกับบาทหลวงท่านหนึ่ง เพื่อพบปะสนทนากันในเรื่องราวบ้านเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน มีช่วงหนึ่งของการสนทนา ท่านได้เปรยขึ้นมาว่า เมื่ออายุท่านมากขึ้น ทำให้การมองสีที่มองเห็น ได้เปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีขาวที่เคยเห็นกลับกลายเป็นสีเหลืองไป น่าจะเป็นเพราะม่านสายตาของท่านมีปัญหาแน่นอน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่ผมมากทีเดียว คงเป็นเพราะว่า แม้ผมจะมีอายุมากแล้ว(เกิน 70 ปี) แต่ก็ไม่เคยสังเกตดูตัวเองเลย พอกลับถึงบ้านก็ลองสอบถามภรรยาดู ก็ชักจะไม่เชื่อมั่นในสายตาตัวเองเสียแล้ว จึงได้ไปสืบค้นหาสาเหตดูจากบทวิจัยต่างๆ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ท่านพูดจริงๆ ครับ
การเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นสีในผู้สูงวัยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากกระบวนการเสื่อมสภาพของอวัยวะที่ซับซ้อน ซึ่งผู้สูงวัยอย่างผม ควรจะต้องมีการเตรียมตัวรับกับสภาพการณ์เช่นนี้ เพื่อเตรียมปรับสภาพจิตใจไว้ก่อนที่มันจะมาถึงตัว และต้องหาแนวทางการเยียวยาที่ครอบคลุมทั้งการรักษาด้วยเช่นกัน
จากการเสาะหาสาเหตุว่าทำไมโลกถึงกลายเป็นสีเหลือง? การที่ผู้สูงวัยมองเห็นสีผิดเพี้ยนไป มีสาเหตุหลักมาจาก 3 กลไกทางกายภาพด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของเลนส์ตา (Crystalline Lens Sclerosis) เพราะภายในเลนส์ตาของมนุษย์ มีโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “Alpha-Crystallin” ซึ่งทำหน้าที่รักษาความใสสะอาดของสายตา
เมื่อเวลาผ่านไป การได้รับรังสี UV จากแสงแดด และการสะสมของอนุมูลอิสระ ทำให้โปรตีนเหล่านี้จับตัวกันเป็นก้อน และเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมี กลายเป็นเม็ดสีที่เรียกว่า “Urochrome” ซึ่งมีลักษณะเป็นสีเหลืองไปจนถึงสีน้ำตาลทึบ เลนส์ตาก็จะกลายเป็นฟิลเตอร์ที่เลือกกั้นแสงคลื่นสั้น (Short-wavelength light) ซึ่งก็คือแสงสีน้ำเงินและม่วง ไม่ให้เข้าสู่จอประสาทตา ในขณะที่แสงคลื่นยาว (สีแดงและเหลือง) ยังผ่านได้ปกติ ซึ่งมักจะเกิดกับผู้สูงวัย จึงทำให้มองเห็นโลกเหมือนถูกอาบด้วยแสงเทียนตลอดเวลานั่นเองครับ
อีกสาเหตุหนึ่ง คือการเสื่อมสภาพของเซลล์รับสีบนจอประสาทตา (Photoreceptor Decline) เพราะบนจอประสาทตา (Retina) จะมีเซลล์รูปกรวย (Cone Cells) 3 ชนิดที่รับสีแดง เขียว และน้ำเงิน เมื่อเรามีอายุมากขึ้น จำนวนเซลล์เหล่านี้ก็จะลดลงตามกาลเวลา โดยเฉพาะเซลล์รับแสงสีน้ำเงิน (S-cones) ซึ่งมีความเปราะบางที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการแยกแยะความสด (Saturation) ของสีลดลง สีที่เคยจัดจ้านจะดูตุ่นและซีดจางลงไปด้วยนั่นเองครับ
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุ คือ การทำงานของสมองส่วนการประมวลผลภาพ (Visual Cortex) ซึ่งสมองส่วนหลังที่ทำหน้าที่ตีความสีสันต่างๆ จะเริ่มทำงานช้าลง ทำให้การประมวลผลความต่างของสี (Contrast) นั้นทำได้ยากขึ้น หากวัตถุสองชิ้นมีค่าความสว่างใกล้เคียงกัน สมองจะสั่งการว่ามันคือสิ่งเดียวกัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการพลัดตกหกล้ม หรือการกะระยะที่คลาดเคลื่อนนั่นเองครับ
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วเราจะมีแนวทางการฟื้นฟู และบำบัดแบบองค์รวม (Comprehensive Rehabilitation)ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม เมื่อเราเข้าใจสาเหตุแล้ว การแก้ไขจึงต้องทำอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การรักษาทางการแพทย์ไปจนถึงการปรับสภาพแวดล้อม เริ่มจากการฟื้นฟูผ่านการรักษาทางการแพทย์ (Medical Restoration) ในปัจจุบันนี้แพทย์ท่านมีวิธีรักษา ด้วยการผ่าตัดต้อกระจกและใส่เลนส์เทียมคุณภาพสูง (Premium IOLs) นี่คือวิธีหนึ่งที่ฟื้นฟูการมองเห็นสีได้เกือบ 100% เพราะปัจจุบันมีเลนส์เทียมชนิด “Aspheric” หรือ “Blue-light filtering” ที่ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบการรับสีของมนุษย์ที่สมจริงที่สุด การผ่าตัดจะช่วยให้ผู้สูงวัยกลับมาเห็นความสดใสของท้องฟ้า และสีสันของดอกไม้ได้ทันทีหลังพักฟื้นครับ
นอกจากนี้ การรักษาโรคจอประสาทตา ในกรณีที่การรับสีเพี้ยนเกิดจากโรคจอประสาทตาเสื่อม การฉีดยาเข้าน้ำวุ้นตา หรือการทานวิตามินบำรุงสายตา (Lutein & Zeaxanthin) จะช่วยชะลอการสูญเสียเซลล์รับสีได้เช่นกัน ยังมีการบำบัดด้วยการจัดสภาพแวดล้อม (Environmental Therapy) หรือการปรับอุณหภูมิสีของแสง (Color Temperature) ถ้าหากผู้สูงวัยอยู่ในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ก็ควรใช้หลอดไฟประเภท Daylight (6500K) ในพื้นที่ทำกิจกรรม เพื่อเพิ่มความชัดเจนของสีและแสง และใช้ไฟ Warm White ในห้องนอนเวลาเข้าไปหลับนอน เพื่อให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แต่ต้องมีความเข้มแสง (Lux) ที่สูงกว่าปกติ 3-5 เท่า เพื่อชดเชยการกรองแสงของเลนส์ต
นอกจากนี้ การใช้ “สีคู่ตรงข้าม” (Complementary Colors) ในพื้นที่อันตราย โดยให้ใช้สีที่ตัดกันอย่างรุนแรงตามวงจรสี เช่น พื้นสีน้ำเงินเข้มต้องใช้ราวจับสีเหลืองทอง หรือพื้นสีเขียวต้องใช้เส้นบอกทางสีแดงสว่าง เพื่อให้สมองประมวลผลความต่างได้ชัดเจนที่สุด เพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มครับ การบำบัดด้วยการกระตุ้นสมอง (Cognitive & Sensory Stimulation) เช่น เกมแยกเฉดสีสด (High-Saturation Sorting) โดยใช้แผ่นสีที่มีความสดมาก (เช่น แดงสด เหลืองสด ส้มสด) ให้ผู้สูงวัยทดลองคัดแยก สิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นเซลล์รูปกรวย ที่ยังหลงเหลืออยู่ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพครับ อีกหนึ่งของการบำบัดที่ได้ผลมาก คือการใช้ศิลปะบำบัดด้วยสีอะคริลิก การให้ผู้สูงวัยใช้สีที่มีเนื้อสีหนาและสดใส จะช่วยทำให้รู้สึกถึงความสำเร็จในการสร้างสรรค์ และลดภาวะซึมเศร้าที่เกิดจากการมองเห็นที่มืดมัวครับ
สุดท้ายคือการบำบัดทางจิตวิทยา (Psychological Support) ผู้สูงวัยหลายท่านอาจรู้สึก “สูญเสียความมั่นใจ” เมื่อมองเห็นไม่ชัดและทำสิ่งของตกหล่น บ่อยครั้งที่ผู้สูงวัยจะเงียบและถอนตัวจากสังคม หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของสถานบริบาล คือ การอธิบายว่า “มันเป็นเรื่องของดวงตา ไม่ใช่เรื่องของสติปัญญา” การให้กำลังใจแก่ผู้สูงวัย และปรับสิ่งแวดล้อมให้กลับมาทำกิจวัตรได้เอง จะเป็นยาขนานเอกในการฟื้นฟูจิตใจอย่างดีเยี่ยมเลยครับ
สำหรับผู้ดูแลหรือผู้บริบาล การดูแลการมองเห็นสีของผู้สูงวัย ไม่ใช่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นเรื่องของ “ศักดิ์ศรีและความปลอดภัย” ในการใช้ชีวิต เมื่อเราทำให้โลกในสายตาของผู้สูงวัยกลับมาสว่างและมีสีสันอีกครั้ง นั่นคือการที่เรากำลังคืนความมั่นใจในการก้าวเดิน การทานอาหาร และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ที่ศูนย์ดูแลของ “คัยโกเฮ้าส์” ของผม เรามุ่งมั่นที่จะเป็น “แว่นตาอันใหม่” ให้กับผู้สูงวัย โดยผ่านความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และการจัดการที่เป็นมืออาชีพ เพื่อให้ทุกวันในวัยเกษียณ คือวันที่มีสีสันที่สุดอย่างที่ควรจะเป็นครับ
ข้อมูลอ้างอิง