การสร้างเสริมจิตใจของผู้สูงวัยด้วยการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

29 พ.ย. 2568 | 04:20 น.
อัปเดตล่าสุด :29 พ.ย. 2568 | 04:31 น.

การสร้างเสริมจิตใจของผู้สูงวัยด้วยการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแนวทางใหม่ในการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงวัย ช่วยลดความเหงาและความเครียด โดยเน้นการเดินทางแบบช้าๆ (Slow Travel) เพื่อการฟื้นฟูจิตใจและร่างกาย
  • โปรแกรมท่องเที่ยวจะผสมผสานกิจกรรมที่ส่งเสริมความสงบภายใน เช่น การทำสมาธิ โยคะ ควบคู่กับการใช้ภูมิปัญญาไทย เช่น อาหารบำบัด การนวดแผนไทย และสมุนไพร เพื่อการเยียวยาแบบองค์รวม
  • เสนอให้มีการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงวัยโดยเฉพาะ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเยียวยาทางจิตวิญญาณ

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีเพื่อนรุ่นน้องท่านหนึ่งมาพบผมที่บริษัท เพื่อมาขอความเห็นว่า เขาอยากจะทำโครงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยนำเอานักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เขาถามผมว่าผมมีความคิดอย่างไรกับโครงการของเขา ผมจึงตอบไปว่าดีมาก เพราะเป็นนโยบายของประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ผมก็แนะนำไปว่า ให้คิดให้รอบคอบ เพราะแม้ว่าจะมีการส่งเสริมจากภาครัฐในโครงการดังกล่าว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอีกไม่น้องที่จะต้องจัดการให้ได้ครับ

การเปลี่ยนผ่านของสังคมและโอกาสของผู้สูงวัย การดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงวัยมีความสำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย เพราะความรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว หรือมีความเครียด จากความเปลี่ยนแปลงของชีวิต สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิต ในขณะเดียวกันประเทศไทยเป็นแหล่งรวมของ “ทรัพยากรบำบัด” ที่ล้ำค่า เพราะมีทั้งมรดกทางวัฒนธรรมที่สงบงาม ภูมิปัญญาดั้งเดิมด้านสุขภาพ และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นสิ่งที่เพื่อนรุ่นน้องท่านนั้นนำเสนอมา ก็คือ “มิติใหม่ของการท่องเที่ยว” ซึ่งก็คือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและจิตวิญญาณ (Wellness and Spiritual Tourism) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างเสริม จิตใจให้ผ่องใส (Inner Wellness) และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยในช่วงบั้นปลายของชีวิต

ต้องพูดว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ น่าจะเป็นยาขนานเอกสำหรับจิตใจของผู้สูงวัยที่สำคัญ เพราะการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม มักจะเน้นความรวดเร็วและจำนวนสถานที่ ถ้าพวกเราเคยไปท่องเที่ยวกับกลุ่มทัวร์ เรามักจะพบกับการนัด 6,7,8 จากไกด์ทัวร์เสมอ นั่นก็คือ ตื่นนอน 6 โมงเช้า ทานข้าวเช้า 7 โมงทานข้าวเช้า 8 โมงล้อหมุน ซึ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเร่งรีบไปหมด นี่ก็คือการเดินทางท่องเที่ยวกับทัวร์นั่นแหละครับ แต่สำหรับผู้สูงวัยอย่างพวกเรา การเดินทางน่าจะต้องเปลี่ยนเป็น “การเดินทางเพื่อการบำบัด” ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการฟื้นฟูจิตใจ ดังนั้นควรจะต้องมีการสร้างเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพกายเป็นหลักนั่นเอง

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ควรเป็นการลดความเครียดและความเหงา (Stress and Loneliness Reduction) โดยไม่ต้องมีการ “บังคับหรือกำหนดเวลา” ที่เป็นการเร่งรีบจนเกินไป แต่เป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัส จากการได้ออกไปสัมผัสสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงน้ำไหล กลิ่นธูปควันเทียนในวัดวาอาราม หรือสีสันของตลาดในสถานที่แปลกใหม่ เพื่อช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานและรับกับสิ่งที่สร้างความสดใสให้แก่ชีวิต เพื่อช่วยในการคลายความซึมเศร้าได้นั่นเอง

ในการจัดทำทริปการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ควรจะจัดเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่สามารถทำให้ผู้สูงวัยมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมใหม่ๆ อีกทั้งยังสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตกับเพื่อนๆร่วมกลุ่มทัวร์ ผมเชื่อว่าจะสามารถลดความรู้สึกโดดเดี่ยวลงได้มาก นอกจากนี้ยังสามารถค้นพบความสงบภายใน (Inner Peace Discovery) ได้อีกด้วย ดังนั้นการเลือกโปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ควรจะมีทั้งการได้ฝึกฝนวิธีการดูแลสุขภาพกาย ที่มีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้คำแนะนำ การทำกายภาพที่เหมาะกับกลุ่มผู้สูงวัยที่ง่ายๆ เช่น การทำโยคะแบบพื้นฐาน การออกกำลังกายด้วยไทเก๊ก เป็นต้น นอกจากนี้ อาจจะมีการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับการปฏิบัติสมาธิ (Meditation) และการทบทวนตนเอง (Self-Reflection) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการมีจิตใจที่ผ่องใส หรือการบำบัดทางจิตวิญญาณของผู้สูงวัย

โปรแกรมดังกล่าว เราอาจจะนำการบูรณาการวัฒนธรรม เพื่อการเยียวยาสุขภาพจิตและสุขภาพกายของผู้สูงวัย เราสามารถนำเอาความโดดเด่นของไทยเรา เช่น ภูมิปัญญาดั้งเดิม ที่มีทั้งแพทย์แผนไทยด้านสุขภาพ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัย ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แห่งการบำบัดแบบช้า (The Slow Healing Arts) โภชนาการบำบัด (Therapeutic Cuisine) เพราะอาหารพื้นเมืองในหลากหลายพื้นที่ของไทยเรา ซึ่งส่วนใหญ่เน้นวัตถุดิบสดใหม่ ปรุงแต่งน้อย และมีสมุนไพรธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ เช่น อาหารที่มุ่งเน้นผักและสมุนไพร หรืออาหารที่เน้นเครื่องเทศต้านอนุมูลอิสระ การได้เรียนรู้และลิ้มรสอาหารเหล่านี้ ก็คือส่วนหนึ่งของการบำบัด นอกจากนี้เรายังสามารถทำกายบริหารแบบไทยๆ ด้วยการเคลื่อนไหวแบบเบาๆ การผสมผสานกับการเคลื่อนไหวแบบดั้งเดิม เช่น มวยไทยไชยาแบบประยุกต์ การฟ้อนรำแบบง่ายๆตามจังหวะที่สนุกสนาน หรือการออกกำลังกายเบา ๆ กลางแจ้งในที่ที่มีทัศนียภาพสวยงาม

นอกจากที่กล่าวมา ไทยเรายังมีมรดกด้านสัมผัส (The Heritage of Touch) เช่นการนวดแผนไทยและนวดสมุนไพร ซึ่งการนวดที่เป็นการบำบัดทางกาย ที่ส่งผลดีต่อจิตใจอย่างมาก การใช้สมุนไพรและน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่มีอยู่มากมายในภูมิภาคของไทย เป็นการพักผ่อนกล้ามเนื้อและลดความตึงเครียดทางอารมณ์ไปพร้อมกัน

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากนำเสนอในโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพดังกล่าว นั่นคือการสร้างเส้นทางเชื่อมโยง “สุขภาวะ” เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพผู้สูงวัย จำเป็นต้องมีการดำเนินการในเชิงนโยบาย และปฏิบัติการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน หรืออาจจะเป็นระดับจังหวัดต่อจังหวัด ให้มีการนำจุดเด่นแต่ละสถานที่มาผสมผสานกัน เพื่อสร้างเส้นทางใหม่ๆให้แก่ผู้สูงวัยได้เปลี่ยนบรรยากาศ ในการเดินทางไปเยือน ซึ่งอาจจะเป็นการพัฒนาเส้นทางสายสโลว์ไลฟ์ (Developing Slow-Travel Routes) การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัด ที่เน้นความสะดวกสบายและ “ความช้า” (Slow Travel) ไม่เร่งรีบ เช่น “เส้นทางสายบุญและธรรมชาติลุ่มน้ำโขง” (เชียงราย -เชียงใหม่) ที่ใช้เวลาเดินทางแบบสั้นๆ และเน้นกิจกรรมพักผ่อนเป็นหลัก อีกทั้งต้องมีการสร้างจุดพัก และบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายตามเส้นทางของการเดินทางนั่นเองครับ

อย่างที่กล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นของบทความ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและจิตวิญญาณสำหรับผู้สูงวัย ไม่ใช่แค่การเดินทางพักผ่อนเท่านั้น แต่คือ การลงทุนด้านคุณภาพชีวิต ที่ให้ผลตอบแทนเป็นความสุข ความสงบ และความรู้สึกมีคุณค่า ซึ่งจะเป็น “ศูนย์กลางการเยียวยาจิตวิญญาณ” ( Spiritual Healing Hub) ด้วยการผนวกเอาความมั่งคั่งทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาดั้งเดิม และธรรมชาติที่เอื้อต่อการพักผ่อนเข้าด้วยกัน ไม่เพียงเป็นการสร้างเสริมจิตใจของผู้สูงวัยเฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้นผู้สูงวัยในประเทศ ก็ยังสามารถมาใช้บริการได้เช่นกัน และยังเป็นมิติใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์ได้อีกด้วยครับ