KEY
POINTS
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางบ้านพักคนวัยเกษียณของผม ได้มีผู้สูงวัยที่มาพักกับเราท่านหนึ่ง ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับที่โรงพยาบาล หลังจากที่ท่านได้มีอาการป่วยมาแล้วหลายเดือน ทีมงานของเราได้พยายามยืดอายุท่าน เพื่อให้ท่านได้มีความสุขในบั้นปลายอย่างสุดความสามารถ เราได้ส่งท่านไปเข้าโรงพยาบาลได้ไม่กี่วัน ท่านก็จากไป ผมจำได้ว่าในช่วงก่อนที่ท่านมาเข้าอาศัยที่เรา ท่านมีอาการใช้ยาผิดขนาด จากอาการมีโรคความดันโลหิตที่สูง ทางญาติได้นำส่งโรงพยาบาล แพทย์ได้ให้ยาลดความดันมาสองชนิด ท่านก็ทานยาอย่างนั้นมาเป็นเวลานาน โดยไม่ได้ไปพบแพทย์อีก ทำให้เมื่อความดันลดลงไปแล้ว ก็ยังคงทานยาทั้งสองชนิดนั้นอยู่เหมือนเดิม จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านมีอาการทรงตัวไม่ได้ ญาติเข้าใจว่าท่านมีปัญหาน้ำในหูไม่เท่ากัน ผมจึงแนะนำให้นำตัวท่านมาพักที่เราก่อน เมื่อมาพักที่เรา ทางเจ้าหน้าที่ของเราพบว่าท่านทานยาเกินขนาด จึงทำการลดยาลงไป ทำให้ท่านหายจากอาการนั้นไปทันที แต่อย่างไรก็ตาม ท่านยังมีโรคอื่นๆแทรกซ้อนอยู่อีกหลายโรค ทางเราได้ส่งตัวท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลตลอดมา ท่านมาอยู่กับเราได้สองปีกว่า จนกระทั่งสังขารร่วงโรยไปตามอายุขัยของท่าน ท่านจึงได้จากเราไปด้วยอายุที่ยืนยาวและมีความสุขครับ
คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายย่อมเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “เภสัชจลนศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลง (Altered Pharmacokinetics)” ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีที่ร่างกายจัดการกับยา การทำงานของไตในการขับยา และตับในการเผาผลาญยา ก็จะลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ยาที่กินเข้าไป สะสมอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อความเป็นพิษ (Toxicity) นอกจากนี้มวลกล้ามเนื้อที่ลดลงและไขมันที่เพิ่มขึ้น ยังส่งผลต่อการกระจายตัวของยา ทำให้ขนาดยาที่เคยเหมาะสมอาจกลายเป็น “ยาเกินขนาด” ได้ง่ายๆ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้ผู้สูงวัยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากยา (Adverse Drug Reactions: ADRs) และ ยาตีกัน (Drug Interactions) ที่รุนแรง ก็คล้ายๆกับคุณตาที่เพิ่งจากเราไปนี้แหละครับ ดังนั้นยาหาใช่จะไม่มีพิษมีสง แต่พิษร้ายจะเกิดขึ้นได้ ถ้าหากเราใช้ยาอย่างไม่ระมัดระวัง หรือไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรอย่างสม่ำเสมอครับ
หากเราหรือผู้สูงวัยทั้งหลาย ที่จำเป็นต้องทานยาติดต่อกันนานๆ เราควรเข้าใจถึงหลักการ RDU หรือการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ซึ่งผู้สูงวัยต้องเน้นการประเมินยา ตามหลักการ 4 ข้อนี้อย่างเคร่งครัด เช่น ความจำเป็น (Indication) โดยต้องมีการ “ใช้ยาให้ตรงตามความจำเป็น” จริงๆ โดยพิจารณาว่ายาแต่ละตัว รักษาโรคได้ตรงจุดหรือไม่? เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน(Polypharmacy)โดยไม่จำเป็น ต่อมาเราต้องคำนึงถึงการได้ผลดี (Efficacy) นั่นก็คือยาต้อง “ได้ผลดี” และเหมาะกับผู้สูงวัยที่ต้องการทานยานั้นๆ โดยการเริ่มต้นด้วย “ขนาดยาต่ำ แล้วค่อยๆ เพิ่ม” (Start Low, Go Slow) ซึ่งข้อนี้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยคำนึงถึง เพราะคนไทยเรามักจะชอบใช้ยาที่แรงๆ จะได้เห็นผลเร็วๆ ซึ่งอาจจะทำให้มีปัญหาตามมาอีกมากมาย โดยตัวเราคิดไม่ถึงก็ได้ครับ
หลักการต่อมาคือ ปลอดภัย (Safety) เราต้องคำนึงถึงเสมอว่า การใช้ยาต้อง “ปลอดภัย”เสมอ โดยจะต้องมีการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิด ADRs และ Drug Interactions อย่างรอบคอบ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องทำตามแพทย์สั่ง และเมื่อร่างกายมีอาการที่ดีขึ้น ต้องเข้าไปพบแพทย์อีกครั้งเสมอ เพราะแพทย์ท่านจะเป็นคนปรับขนาดของยา เพื่อให้เหมาะสมตามการทำงานของไต และหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูงให้กับเรา เราไม่ควรจะทำตัวเป็นหมอตี๋เสียเองครับ หลักการสุดท้าย คือ ความสะดวก (Compliance) ยาต้อง “สะดวก”ต่อการใช้ ผู้สูงวัยต้องสามารถกินยาได้อย่างถูกวิธี ถูกขนาด และถูกเวลา ตามที่คุณหมอหรือเภสัชกรกำหนด เพื่อเพิ่มความร่วมมือในการรักษาให้หายเร็วๆนั่นเองครับ
จากประสบการณ์ที่ผมได้เล่าในตอนต้น เป็นกรณีที่ขาดการปรับขนาดยาตามหลัก “ความปลอดภัย” เมื่ออาการดีขึ้น การใช้ยาลดความดันโลหิตเกินขนาดในผู้สูงวัย ทำให้เกิด ผลข้างเคียง (ADRs) คืออาการวิงเวียนศีรษะ เดินเซ ซึ่งเป็นสัญญาณของ ความดันโลหิตต่ำ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการวิงเวียน และเสียการทรงตัวจากยา ซึ่งในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่ยาลดความดันเท่านั้น ที่หากได้รับเกินขนาดแล้วจึงจะเกิดอาการ ยังมียาอื่นๆอีกหลายชนิด เช่น ยานอนหลับหรือยาคลายกังวล ยาแก้ปวดบางชนิด ซึ่งหากใช้ผิดขนาด ก็จะเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การพลัดตกหกล้ม ซึ่งเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งต่อคุณภาพชีวิต และความปลอดภัยของผู้สูงวัยได้ครับ
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ผู้สูงวัยเอง ที่ต้องเข้าใจในการใช้ยา ผู้ดูแลก็ต้องตระหนักถึงความเสี่ยงของการใช้ยาหลายชนิดพร้อมๆกัน หรือที่เรียกว่า “ยาตีกัน” (Drug Interactions) เพราะการเพิ่มขึ้นตามจำนวนเม็ดยาที่กิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มยาที่มีผลต่อระบบประสาท หรือยาเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดอาการดังกล่าวได้ครับ นอกจากนี้ผู้สูงวัยเองก็ยังต้องระวังยาที่มีผลต่อสมอง และระบบประสาท เช่น ยานอนหลับหรือยาคลายกังวลบางชนิด หรือ ยาแก้ปวดบางชนิด ยาเหล่านี้สามารถสะสมในร่างกายผู้สูงอายุได้ง่าย ทำให้เกิดอาการง่วงซึม สับสน และ เพิ่มความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มอย่างมาก ผู้ดูแลควรสังเกตอาการทางสมองอย่างใกล้ชิด หรือทางที่ดีที่สุดคือใช้ยาเหล่านี้ในระยะสั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ครับ
อย่างไรก็ตาม เราผู้สูงวัยทั้งหลาย ยาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว แต่ถ้าจะให้ใช้ยาได้อย่างปลอดภัย เราก็ควรจะต้องเข้าใจ 3 ขั้นตอนสู่ความปลอดภัยตามหลัก RDU ที่ผู้สูงวัยและผู้ดูแลต้องปฏิบัติตามอย่างเข้มข้น นั้นก็คือขั้นตอนแรก ต้องมีการทบทวนยาและสื่อสาร (Review & Communicate) ด้วยการรวบรวมรายการยาที่ผู้สูงวัยทานอยู่ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงอาหารเสริมด้วย เพื่อให้แพทย์หรือเภสัชกร ทำการ Drug Interactions อย่างถี่ถ้วน เมื่อผู้สูงวัยหรือผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ต้องปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อทำการลดหรือหยุดยา(Deprescribing)ที่ไม่จำเป็น ตามหลักของ “ความจำเป็น”ในการใช้ยาครับ
ขั้นตอนที่ 2 คือสังเกตและติดตาม (Monitor & Follow-up)หลังการใช้ยา ด้วยการวัดความดันโลหิตเป็นประจำ สังเกตอาการวิงเวียน ง่วงซึม สับสน และ จดบันทึกเวลาที่อาการเกิด อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้แพทย์ปรับยาให้เป็นไปตามหลัก “ปลอดภัย” และ “ถูกขนาด”ครับ
ขั้นตอนที่ 3 สร้างความสะดวก (Enhance Compliance) เราอาจจะใช้เครื่องมือช่วยจำในการทานยา เช่น จัดยาโดยใช้กล่องใส่ยาประจำวันหรือสัปดาห์ เพื่อป้องกันการลืมกินยา หรือกินยาซ้ำ อย่าลืมว่าเรา “คนแก่มักจะขี้ลืม”เสมอ อีกอย่างหนี่งคือ “ความง่ายคือหัวใจในการใช้ยาให้ถูกวิธี” ด้วยการพยายามลดความถี่ในการกินยา เช่น กินวันละ 1-2 ครั้ง แทน 3-4 ครั้ง หรือจัดตารางยาให้สอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือสูงสุดกับแพทย์ครับ
การใช้ยาอย่างปลอดภัยในผู้สูงวัย คือการทำความเข้าใจหลักการ RDU และความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทีมแพทย์และเภสัชกร คือหัวใจสำคัญในการปกป้องตัวเราเอง หรือคนที่เรารัก จากความเสี่ยงของยาครับ