KEY
POINTS
การเข้าไปร่วมสัมมนาเชิงวิชาการที่เมืองเกาสง ไต้หวันครั้งนี้ ทำให้ผมคิดถึงงานด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ที่ยังคงมีความจำเป็นต้องวิ่งตามนโยบายขององค์การอนามัยโลก (World health Organization; WHO) ที่เขาได้พัฒนากรอบแนวคิดสำคัญสำหรับผู้สูงวัยไว้หลายประการ โดยเฉพาะการวางแผนแม่บทของการบูรณาการในการดูแลผู้สูงวัย Integrated Care for Older People (ICOPE Framework ) ซึ่งในระดับชุมชน จะมีองค์ประกอบหลัก ๆ ด้วยกันทั้งหมด 5 องค์ประกอบ นั่นก็คือ การคัดกรอง, การประเมินในเชิงลึก,การส่งเสริมสุขภาพ, การจัดการเฉพาะโรค และการสนับสนุนผู้ดูแล
แน่นอนว่าปัจจุบันนี้ประเทศไทยเราได้ก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์” (Aged Society) และกำลังมุ่งหน้าสู่ “สังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด” (Super-aged Society)ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ความท้าทายสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่การมีอายุยืนยาวเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การทำอย่างไรให้ผู้สูงวัยชาวไทย ได้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในบั้นปลายของชีวิต อีกทั้งยังสามารถพึ่งพาตนเองได้ และยังคงเป็นพลังสำคัญของสังคมต่อไป
ท่ามกลางโจทย์ใหญ่นี้ ICOPE Framework (Integrated Care for Older People) หรือ “กรอบแนวคิดการดูแลผู้สูงอายุแบบบูรณาการ” ที่พัฒนาโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมการดูแลผู้สูงวัยในประเทศไทย ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันนี้ หลาย ๆ ประเทศก็ได้นำเอาแนวคิดของกรอบนี้ไปบูรณาการใช้แล้ว ไม่เพียงแต่ประเทศทางฝั่งตะวันตกเท่านั้น ในฝั่งเอเชียเรา เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือไต้หวัน ถ้าใกล้ ๆ บ้านเราก็มีประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย เขาก็ต่างตื่นตัวกันเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นได้จากงานสัมมนาดังที่ผมได้ไปร่วมงานมา และได้รับฟังการแสดงผลงานทางวิชาการมา ก็จะเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับ
หากจะมองไปในอดีต เราจะเห็นระบบสาธารณสุขของเกือบทุกประเทศ มักจะมุ่งเน้นไปที่ “การรักษาโรค”( Disease-centered) แต่ปัจจุบันนี้ WHO เขากลับมาใช้ ICOPE Framework ที่มุ่งเน้นไปที่ “การรักษาคนก่อนการรักษาโรค” โดยใช้วิธีการเสนอมุมมองใหม่ที่เน้นไปที่ “การดูแลที่เน้นตัวบุคคล” (Person-centered) โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการรักษา “สมรรถนะแฝง” (Intrinsic Capacity) หรือความสามารถทั้งมวลของร่างกายและจิตใจที่ผู้สูงวัยมีอยู่ ให้คงไว้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตบั้นปลายที่ดีขึ้นนั่นเองครับ
สิ่งที่ ICOPE ทำงานโดยมักจะมุ่งเน้นการประเมินและดูแล “6 เสาหลัก” ของสุขภาพผู้สูงวัย อันได้แก่ 1,การเคลื่อนไหว (Locomotor) เช่น ความสามารถในการเดิน การทรงตัว เพื่อป้องกันการหกล้ม 2, ด้านอาหารการกินหรือโภชนาการ (Nutrition) ด้วยการเฝ้าระวังภาวะทุพโภชนาการ หรือการขาดสารอาหาร ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่มากในกลุ่มผู้สูงวัย 3,ด้านการมองเห็น (Vision) ซึ่งจะต้องมีการคัดกรองปัญหาสายตา อันจะทำให้เกิดปัญหาการพลัดตกหกล้มได้ง่าย 4,ด้านการได้ยิน(Hearing) ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบภาวะการได้ยินที่ถดถอยลงของผู้สูงวัย 5,ด้านสมรรถนะทางสมอง (Cognitive) ซึ่งในกลุ่มของผู้สูงวัยเป็นกันมาก จึงต้องมีการคัดกรองและเฝ้าระวังความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อม สุดท้ายคือ สุขภาพจิต (Psychological) ต้องมีการประเมินภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวลที่มักจะเกิดกับผู้สูงวัยนั่นเองครับ
ปัจจุบันนี้การขับเคลื่อน ICOPE ในบริบทของไทย ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก การที่จะนำ ICOPE มาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของ 2 กลไกหลัก ทั้งในระดับชุมชนและในระดับสถานบริการ แน่นอนว่าพลังจาก “ชุมชน” (Community-based Care) เป็นจุดที่สำคัญในการที่จะเริ่มต้น ซึ่งกรอบของ ICOPE นั้นมีความเรียบง่าย และเน้นการทำงานในระดับ “ด่านหน้า” ของระบบสาธารณสุขเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) คลินิกหมอครอบครัว หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อ.ส.ม.) ที่สามารถใช้เครื่องมือคัดกรองเบื้องต้น เช่น แอปพลิเคชัน หรือแบบประเมินง่าย ๆ เพื่อค้นหาผู้สูงวัยในชุมชน ที่เริ่มมีความถดถอยของสมรรถนะแฝง ทำให้สามารถค้นพบสิ่งผิดปกติของผู้สูงวัยได้อย่างรวดเร็ว หรือสามารถเจอความเสี่ยงตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม อีกทั้งยังสามารถดูแลได้ตรงจุด ด้วยการส่งต่อผู้สูงวัยให้ได้รับการดูแลฟื้นฟูที่เหมาะสมได้ทันท่วงที เช่น การปรับโภชนาการ การแนะนำท่าออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการหกล้มเป็นต้น
นอกจากนี้พลังจาก “สถานบริการของภาคเอกชน” (Facility-based Care) ซึ่งจะมีส่วนเข้ามาช่วยเสริมให้การค้นหาในชุมชนที่รอดหูรอดตาไป ดังนั้นสถานบริการและบ้านพักผู้สูงวัยของภาคเอกชน ยังถือเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญ ที่จะทำให้กรอบการทำงานของ ICOPE สำเร็จได้ในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ สถานบริการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแต่เป็น “ที่พักพิง” สำหรับผู้สูงวัยที่ต้องการการดูแล แต่หากได้ถูกยกระดับให้เป็น “ศูนย์กลางการฟื้นฟูสมรรถนะเชิงรุก” (Active Rehabilitation Hub)ในสภาพแวดล้อมที่มีบุคลากรดูแลใกล้ชิด สถานบริการก็จะสามารถทำหน้าที่ของสถานที่ที่เหมาะสมอย่างดียิ่ง ในการนำหลัก 6 เสาของ ICOPE มาใช้อย่างเข้มข้นนั่นเอง นอกจากนี้การจัดการที่เป็นระบบ ก็สามารถจัดโปรแกรมออกกำลังกายกลุ่ม (การเคลื่อนไหว) กิจกรรมทางสังคม (สุขภาพจิต) และกิจกรรมฝึกสมอง (สมรรถนะสมอง) ได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยเช่นกัน ยังมีการเฝ้าระวังทางโภชนาการ ที่สามารถควบคุมและจัดอาหารที่เหมาะสม ให้แก่ผู้สูงวัยแต่ละรายได้โดยตรง เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหารในกลุ่มเปราะบางครับ
ส่วนการดูแลระยะกลาง (Intermediate Care) ที่จะทำหน้าที่เป็นหน่วยรับ-ส่งต่อ ผู้สูงอายุที่ออกจากโรงพยาบาล แต่ยังไม่พร้อมกลับบ้าน สามารถมาฟื้นฟูสมรรถนะที่สถานบริการเหล่านี้ก่อน เพื่อลดอัตราการกลับมาป่วยซ้ำ ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่กรอบ ICOPE ได้วางเอาไว้เช่นกัน จะเห็นว่าสถานบริการของภาคเอกชน(Facility-based Care) นับว่าเป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้กรอบ ICOPE นี้ประสบความสำเร็จได้ จึงไม่ใช่แค่การนำเครื่องมือใหม่มาใช้ แต่คือการปรับกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ในการดูแลผู้สูงอายุของไทยนั่นเองครับ
ดังที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่าเป้าหมายหลักของ ICOPE ก็คือการสร้างระบบนิเวศที่ “ไร้รอยต่อ” (Seamless) ที่เชื่อมโยงบ้าน โรงพยาบาล และชุมชนเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างหลักประกันว่า คนไทยทุกคนจะสามารถ “แก่ตัวอย่างมีคุณภาพ” (Ageing with dignity) และมีชีวิตที่เปี่ยมความหมายได้ในทุกช่วงวัยนั่นเองครับ